4 เมษายน 2566 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานกล่าวภายหลังเห็นรายชื่อ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อของพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่นายสุขาติอยู่ในลำดับที่ 5 ว่า ตนเพิ่งทราบจากนายธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเมื่อสักครู่ที่ผ่านมา จริง ๆ เป้าหมายของตนคือการดูภาพรวมในพื้นที่ประมาณ 104 เขตในภาคกลาง ไม่ได้ดูแค่เขตเดียว หากสู้แค่เขตเดียวคงลงผู้แทนเขตไปแล้ว ต้องดูในภาพรวมเพื่อทำคะแนนให้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรค และทำคะแนนให้พรรคเยอะ ๆ ต้องไปดูแลหลายจังหวัด จึงจำเป็นต้องขึ้นบัญชีรายชื่อ
โดยยืนยันว่าไม่ได้มีการตกลงลำดับกันมาก่อน ทุกอย่างเป็นเรื่องของกรรมการบริหารพรรค ตนไม่ได้เป็นกรรมการบริหารพรรคด้วย และเข้ามาทำงานเพราะตั้งใจมาช่วยพล.อ.ประยุทธ์โดยตรง แม้หลายคนจะบอกว่าข้างหน้าเป็นเหวแต่ก็ต้องมา
พร้อมมองว่าทางข้างหน้าจะค่อยค่อยสว่างเอง ที่มองเป็นเหวลึกก็จากค่อย ๆ ตื้นขึ้นเอง ทุกวันนี้สื่อก็เห็นว่าการเมืองมีสองข้าง สุดท้ายคนที่ปรามาสพล.อ.ประยุทธ์ ว่ามี ส.ส.ไม่ถึง 20 คน วันนี้ทุกคนขึ้นเวทีก็พูดถึงพล.อ.ประยุทธ์ หากมองว่ามีไม่ถึง 20 คน จะพูดถึงพล.อ.ประยุทธ์บนเวทีทำไม นี่เป็นตรรกะการเมือง
นายสุชาติ ยังระบุอีกว่า การขึ้นเวทีปราศรัยขอให้สร้างสรรค์ดีกว่า อย่าพูดถึงเรื่อง 8 ปีที่ผ่านมา และเรื่องเศรษฐกิจไม่ดี ตนคิดว่าคนรุ่นใหม่ดูข่าวได้จากทั่วโลก จะพูดโดยตรรกะของนักการเมืองก็ต้องมีองค์ความรู้บ้าง หากพูดโดยไม่มีองค์ความรู้ ไปด้อยค่าคนอื่นก็จะเป็นการเมืองน้ำเน่า น่าเบื่อ จะทำอย่างไรให้การเมืองเป็นสิ่งที่คนรุ่นใหม่อยากเข้ามาทำเพื่อประเทศชาติ นักการเมืองต้องพูดความจริง การสื่อสารบนเวทีก็ต้องพูดว่าจะเข้ามาทำอะไรไม่ใช่ พูดว่าคนนั้นคนนี้ไม่ดี ต้องพูดว่าตัวเองดีอย่างไรเขาถึงจะเลือก ไม่ใช่พูดโดยด้อยค่าคนอื่นเป็นตรรกะการเมืองที่ไม่ดีไม่ควรเกิดขึ้น
นายสุชาติ ยังกล่าวถึงการเมืองในพื้นที่จังหวัดสมุทรปราการ หลังนายชนม์สวัสดิ์ อัศวเหม อดีตนายกอบจ.สมุทรปราการ เสียชีวิต โดยยอมรับว่าเสียใจกับเรื่องดังกล่าว ซึ่งตนก็มีแค่พื้นที่ของน.ส.ไพลิน เทียนสุวรรณ ที่ต้องรักษาพื้นที่ไว้ ในส่วนครอบครัวอัศวเหม ตนก็มีความเคารพอยู่แล้ว และไม่ได้คิดจะเข้าไปยุ่ง แค่รักษาพื้นที่ของคนที่ร่วมเดินทางมาด้วยกันมากกว่า โดยการเมืองครั้งนี้เหมือนการเมืองปี 2554 ที่มีบัตรสองใบ ประชาชนมีสิทธิ์เลือกสองทาง คือเลือกพรรคที่ชอบ คนที่ใช่ โฟกัสที่ตัวบุคคลเป็นประเด็นแรก ประเด็นที่สองคือนโยบายพรรคที่จับต้องได้ไม่ใช่นโยบายขายฝัน
"สำหรับสมุทรปราการที่เป็นเขตช้างชนช้าง มั่นใจว่ามีแฟนคลับในกลุ่มโรงงานจำนวนมาก คิดว่าสิ่งที่ทำมาทั้งหมดน่าจะทำให้ประชาชนจับต้องได้ หากไม่ทำประโยชน์ให้ประเทศชาติเลยเขาก็คงไม่เลือก ซึ่งตนก็ต้องลงไปช่วยในพื้นที่ จะต้องรักษาพื้นที่เดิมไว้" นายสุชาติ ระบุ
ส่วนกรณีดราม่าป้ายหาเสียงในพื้นที่จังหวัดชลบุรี นายสุชาติ ระบุว่า เป็นเรื่องนิดเดียว จริง ๆ ได้มีการทำเรื่องขอโทษไปทางโซเชียลมีเดียแล้ว ข้อเท็จจริงคือเป็นความผิดพลาดของแอดมิน ซึ่งมีการเผยแพร่ไปประมาณ 20 นาทีและมีการแก้ไข มองว่าเป็นประเด็นที่ไม่ได้มีผลในการแพ้ชนะ เป็นความผิดพลาดและมีการขอโทษแล้วมองว่าควรเปิดใจให้กว้างและมองว่าประชาชนได้ประโยชน์อะไรมากกว่า
ส่วนการแข่งขันในพื้นที่ชลบุรี นายสุชาติ ระบุว่า เมื่อประเมินดูตัวผู้สมัครแล้วไม่ใช่เรื่องหนักใจ เชื่อว่าประชาชนรู้ว่าจะเลือกพึ่งใคร พร้อมถามกลับว่าทีมเฮ้งได้หรือไม่ หากพึ่งได้ก็ขอให้ช่วยกัน ส่วนคำว่าบ้านใหม่ตนมองว่าไม่มีแล้ว ต้องเป็นบ้านที่ประชาชนจับต้องได้และพึ่งได้มากกว่า ตนมองว่ามีการมีคนที่เสนอตัวมาช่วยประชาชนแบบสูสีกัน จะทำให้ประชาชนมีโอกาส มีทางเลือกในการตัดสินใจได้มากกว่า ไม่ใช่แบบเดิมๆในอดีต โดยเปรียบเทียบกับการกินไอศครีม ที่เคยกินรสนี้แล้วอร่อยแต่วันนี้มีคนแนะนำรสใหม่ ก็อาจจะถูกใจเปลี่ยนใจไปกินรสใหม่
ส่วนตั้งเป้าว่าจะได้ ส.ส. เท่าไหร่ นายสุชาติ กล่าวว่า ตนเป็นคนที่เก่งคณิตศาสตร์ คำนวณ จากปี 2562 ที่พล.อ.ประยุทธ์ อยู่พรรคการเมืองหนึ่งได้คะแนนมา 8 ล้านเสียง วันนี้คะแนนอาจหายไปบ้าง เพราะมีการแตกไปหลายพรรคก็น่าจะอยู่ที่ 6 ล้านเสียงอาจได้ซัก 15 คน ซึ่งประเมินตามสถิติที่เป็นไปได้ หากถามว่าทำไมไม่มองว่าพล.อ.ประยุทธ์ จะได้คะแนนมากกว่าเดิม ก็ต้องคำนึงด้วยว่ามีพรรคการเมืองมากกว่าเดิมประชาชนมีตัวเลือกมากขึ้น