บ้านใหญ่สงขลา หวังล้างตาให้ลูกชาย ต้องไม่พลาดเป้าซ้ำรอยปี 62

“บ้านใหญ่บุญญามณี” นับว่าน่าสนใจ เพราะการเลือกตั้งปี 62 “นิพนธ์” ไม่ได้สมัครรับเลือกตั้ง เพราะเป็นนายก อบจ.สงขลา จึงส่ง “ลูกชาย - สรรเพชญ บุญญามณี” ลงแทน แต่ก็พ่ายแพ้ให้ผู้สมัครพลังประชารัฐไปร่วมๆ 13,000 คะแนน



แต่ “นิพนธ์” ก็ยังกลับมารับตำแหน่ง รมช.มหาดไทย เมื่อประชาธิปัตย์ได้เข้าร่วมรัฐบาล หลังเปลี่ยนหัวหน้าพรรค และกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ เนื่องจากชุดของ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ลาออกไปหลังพ่ายแพ้เลือกตั้งอย่างหมดรูป ได้มาเพียง 52 เก้าอี้ ตกต่ำที่สุดในรอบกว่า 30 ปี

เส้นทางของ “นิพนธ์ บุญญามณี” ในฐานะ “บ้านใหญ่สงขลา” ถูกมองว่าเป็น “ผู้มีอิทธิพล” ทั้งในสงขลา และภายในพรรคประชาธิปัตย์ด้วย เพราะตัวเองไม่ได้ลง ส.ส. ส่งลูกชายลงก็แพ้ แต่กลับได้เก้าอี้รัฐมนตรีมาครอง (จริง ๆ แล้วในการเลือกตั้ง และการตัดสินตำแหน่งรัฐมนตรีมีอีกหลายปัจจัย เช่น ควักทุนให้พรรคเท่าไหร่ ดูแลผู้สมัครพื้นที่อื่น ๆ บ้างหรือไม่ จำนวนเท่าไหร่ และคนในเครือข่าย ในค่าย ในซุ้มที่ตัวเองดูแล ได้เป็น ส.ส.กี่คน - คุณนิพนธ์อาจจะผ่านคุณสมบัติเหล่านี้)



คนที่กล่าวหา นิพนธ์ตรง ๆ ว่าเป็น “ผู้มีอิทธิพลในพรรค” (ทำนองว่าอยู่เบื้องหลังหัวหน้าจุรินทร์ด้วย) คือ อันวาร์ สาและ อดีต ส.ส.ปัตตานี เขต 1 ของประชาธิปัตย์ ซึ่งปัจจุบันย้ายซบพรรคลุงป้อมไปเรียบร้อย

ในการให้สัมภาษณ์พิเศษคอลัมน์ “ผ่าสมรภูมิเลือกตั้ง” นิพนธ์ ได้เคลียร์ประเด็น “บ้านใหญ่ผู้มีอิทธิพล” ด้วย

อิทธิพลอย่างไร ต้องยอมรับว่า ผมเป็น ส.ส.มา 30 กว่าปี เป็นนายกอบจ.มีเครือข่ายทั้งจังหวัด 16 อำเภอสงขลา ต้องรู้จักคนทุกอำเภอ เวลาเป็นนายกอบจ.ต้องไปเปิดงานทุกอำเภอ ทุกวันนี้เรียกว่า บ้านใหญ่ คือมันได้เปรียบกว่า ส.ส. เพราะ ส.ส.เดี๋ยวนี้ เหลือสองอำเภอหนึ่งเขต 

อย่างมากก็สามอำเภอหนึ่งเขตเลือกตั้ง แต่การเป็นนายก อบจ.ดูทั้งจังหวัด อาจได้เปรียบ แต่ผมไม่วิเคราะห์อย่างนั้น ถ้าเป็นนายกฯอบจ. ไม่มีผลงานชาวบ้านก็ไม่เอา



อยากรู้ว่า คำจำกัดความของคำว่า "อิทธิพล" ของคนที่กล่าวหาคืออะไร ไปดูประวัติได้ เปิดบ่อนการพนัน ไม่มี ค้าของเถื่อนไม่มี ไม่มีของผิดกฎหมาย ไม่เคยทำ ไปดูประวัติได้ ผมทำธุรกิจของผม มีโรงงานห้องเย็น โรงงานปลาป่น โรงงานทูน่า โรงงานขายคอนกรีตอัดแรง แต่ไม่มั่ววงการสีดำสีเทา



เพราะฉะนั้นอิทธิพลว่ารู้จักคนเยอะ ยอมรับว่าเป็นผู้แทนมา 30 ปี ไม่รู้จักคนก็ผิดปกติแล้ว เป็นนายก อบจ.ไม่รู้จักคนในจังหวัด เป็นไปได้อย่างไร แต่ผมรู้จัก เป็น สจ.สองสมัย ตั้งแต่ปี 2527-2528  เป็นประธานสภาจังหวัด เป็น ส.ส.เขต 5 สมัย  บัญชีรายชื่อ 3 สมัย  เป็นนายกอบจ.ในนามประชาธิปัตย์ ถ้าจะบอกว่า เป็นผู้มีอิทธิพลในสงขลา รู้จักคนเยอะ ผมยอมรับ แต่ถ้าบอกว่ามีอิทฺธิพลข่มขู่ ไม่มี ไม่เลี้ยงมือปืน ไม่มีธุรกิจสีเทาสีดำ คุณอันวาร์ รู้ดี  กินข้าวบ้านผม เป็นกระสอบแล้ว” 



“บ้านใหญ่” ในภาคใต้ มักไม่ค่อยเปลี่ยนหน้า ไม่ค่อยแพ้ โดยเฉพาะบ้านใหญ่ในพรรคเก่าแก่ เนื่องจากพรรคประชาธิปัตย์ยึดครองพื้นที่มาตลอดหลายสิบปี แต่การเลือกตั้งปี 62 ทุกอย่างพลาดเป้า ผิดคาด เนื่องจาก “กระแสลุงตู่” บวกกับการรุกคืบเข้ายึดพื้นที่ของภูมิใจไทย ผ่านทาง “ตระกูลรัชกิจประการ” ซึ่งมีฐานที่มั่นในพัทลุง และแผ่อิทธิพลทางโซนฝั่งอันดามัน



“กระแสลุงตู่” แรงฉุดไม่อยู่ โดยเฉพาะเมื่อ คุณอภิสิทธิ์ ออกแคมเปญไม่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ และไม่เอาสืบทอดอำนาจ (แคมเปญ “ชัดพอหรือยัง”) ทำให้คนใต้ซึ่งเป็นภาคที่ “ไม่เอาทักษิณ” และเพื่อไทยไม่เคยประสบความสำเร็จในพื้นที่นี้ หันไปเทคะแนนให้ “ลุงตู่” จากพลังประชารัฐ ในฐานะคู่ต่อกรคนใหม่กับ “ทักษิณ” แทน ถือว่าเสียหายอย่างยิ่ง 
 

• เก้าอี้ ส.ส.ทั้งหมดเมื่อปี 62 มี 50 เก้าอี้
   
• ประชาธิปัตย์ได้มาเพียง 22 เก้าอี้ ไม่ถึงครึ่ง
   
• พลังประชารัฐกวาดไปถึง 13 ที่นั่ง
   
• ที่เหลือเป็นภูมิใจไทย 8 ประชาชาติ 6 และรวมพลังประชาชาติไทย 1
   

ปชป.มั่นมาก กางตัวเลขกวาดแน่ 72 ที่นั่งเข้าสภา เปิดให้เห็นกันชัด ๆ ทุกพื้นที่ได้เท่าไหร่

ในฐานะ "ผอ.เลือกตั้ง" คุณนิพนธ์ จึงฉายภาพรวมทิศทางของพรรคประชาธิปัตย์แบบทั้งประเทศ ครั้งแรก ไม่เคยเผยกับสื่อไหนมาก่อน

- การเลือกตั้ง 66 ประชาธิปัตย์ได้วิเคราะห์ประเมินสถานการณ์ขั้นต่ำจะได้ ส.ส.เขต มากกว่า 51 ที่นั่ง 

- ภาคใต้ซึ่งเป็นฐานใหญ่มี 60 ที่นั่ง ประชาธิปัตย์จะได้ 35 - 40 ที่นั่งเป็นอย่างต่ำ

- พื้นที่ กทม.มี ส.ส. 33 คน จาก 33 เขต การเลือกตั้งปี 62 ได้ ส.ส. สูญพันธุ์ ส่วนเลือกตั้ง 66 หวัง 5-7 ที่นั่ง



ดูจากตัวเลขการเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. และ ส.ก.ที่ผ่านมา พรรคประชาธิปัตย์ได้รับเลือกตั้ง ส.ก. 9 ที่นั่ง และยังมีคะแนนของผู้สมัคร ส.ก. อันดับสองอีก 7 ที่นั่ง จึงเป็นที่มาของการประเมินพื้นที่เลือกตั้ง กทม.ครั้งนี้ชัดเจนว่าจะสามารถคว้าเก้าอี้ ส.ส. ได้ 5-7 ที่นั่ง

- ภาคกลาง มีเฉลิมชัย ศรีอ่อน หรือ “เลขาฯต่อ” เลขาธิการพรรคดูแล ซึ่งคราวที่แล้วคว้ามาได้ 9 ที่นั่ง แต่สำหรับการเลือกตั้ง 66 ไม่ต่ำกว่า 10-15 ที่นั่ง...แน่นอน



สำหรับ ภาคอีสาน เมื่อปี 62 ได้ ส.ส.มา 2 ที่นั่ง ภาคเหนือหนักสุด 1 ที่นั่ง แต่รอบนี้ อดีต ส.ส.เหนือ 10 กว่าคนอยู่กับประชาธิปัตย์ทั้งหมด (ไม่ทิ้งพรรค) จึงคิดว่า อดีต ส.ส.ที่สอบตกคราวที่แล้วเป็นเกรด A ของ ปชป. เป็นความหวัง รวมกับอีกสานถ้าได้สัก 3 คน เมื่อรวมกับจำนวน “ว่าที่ ส.ส.ข้างต้นจากทุกภาค” ประชาธิปัตย์รอบนี้เกิน 60 ที่นั่งแน่นอน

- ภาคเหนือกับอีสาน ไม่เกิน 5 ที่นั่ง นี่เป็การประเมินขั้นต่ำ ซึ่งเมื่อรวมกับบัญชีรายชื่อ จากคะแนนความนิยมผู้มาใช้สิทธิ์ 5 ล้าน - 6 ล้านคน ได้ 15 เปอร์เซ็นต์ ปาร์ตี้ลิสต์น่าจะอยู่ 10 - 12 ที่นั่ง รวมเป็น 70 ที่นั่งแล้ว

สรุปคาดการณ์ ส.ส.ประชาธิปัตย์ ทั้งประเทศ

ภาคใต้ 40

กทม. 5

ภาคกลาง 10

ภาคเหนือ/อีสาน 5

ปาร์ตี้ลิสต์ 12-15

รวม 72 ที่นั่ง



ส่วนสมรภูมิสงขลา 9 เขต “บ้านใหญ่บุญญามณี” ยังต้องพิสูจน์ตัวเอง เพราะ นิพนธ์ ส่งลูกชายคนเดิม “สรรเพชญ บุญญามณี” ลงแก้มือ เบียด “เจือ ราชสีห์” อดีต ส.ส. 4 สมัย (โดนเบียดเป็นสมัยที่ 2 เมื่อปี 62 ลงปาร์ตี้ลิสต์) ทำให้ เจือ ราชสีห์ ย้ายค่ายไปรวมไทยสร้างชาติ



หัวคะแนนฝากฝั่งโซนใต้ "ประชาธิปัตย์" ยังคงได้เปรียบความเป็นพรรคเก่าแก่มานาน และช่ำชองพื้นที่กว่า รวมไทยสร้างชาติ เป็นไหน แม้กำลังพล ลุงตู่ จะชิงความได้เปรียบแบ่งเค้กบ้านใหญ่ภาคใต้ไปไม่น้อยแล้ว แต่ผู้ที่เคยถูกว่าเป็นมวยรอง รอบนี้คงไม่ยอมตกเป็นรองอีกต่อไป 



นิพนธ์ เดินเกมภาคใต้ ด้วยการลงพื้นที่พบปะพี่น้องในมาเลเซีย เครือข่ายต้มยำกุ้งที่มีพื้นเพอยู่ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ จึงเล็งเห็นวิธีแก้ปัญหาปากท้องคนในพื้นที่ เพื่อให้มีรายได้ มีอาชีพเป็นหลักแหล่งแบบยั่งยืน และการพูดคุยถึงความเห็นต่างในหลายมิติ ก็ได้ผลตอบรับดีพอสมควร   

"นิพนธ์" ออกตัวทิ้งทายว่า เรื่องลูกชายเป็นมติพรรค ไม่ใช่เพราะตนเป็นผู้มีอิทธิพล หรือใช้ “เส้นพ่อ” แต่อย่างใด