Highlights
--------------------
ย้อนกลับไปเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว เรารู้จัก ดเวย์น จอห์นสัน หรือ "เดอะร็อค" ในฐานะมวยปล้ำชั้นนำของ WWE
แต่หลังแจ้งเกิดในวงการภาพยนตร์ ด้วยบทใน The Mummy Returns และ The Scorpion King ชื่อเสียงของ "เดอะร็อค" ก็เริ่มโน้มเอียงมาทางนี้มากขึ้น และเริ่มยกระดับสู่ความเป็นซูเปอร์สตาร์ จากบท ลุค ฮอบบ์ส ใน Fast Five จากแฟรนไชส์ Fast and Furious
ที่น่าสนใจกว่านั้น คือ "เดอะร็อค" ไม่ได้หยุดตัวเองแค่งานแสดง เขาใช้ชื่อเสียง คอนเนกชั่น รวมถึงเงินทุนที่มี ต่อยอดไปสู่บทบาทนักธุรกิจ และมีบทบาทสำคัญกับแบรนด์ชั้นนำมากมาย
รวมถึง "Project Rock" ที่เป็นความร่วมมือกับแบรนด์กีฬาระดับโลกอย่าง Under Armour ด้วย
ความฝันที่ไปไม่ถึงดวงดาว
จอห์นสัน เติบโตในครอบครัวนักมวยปล้ำ ที่ ร็อคกี้ พ่อและ ปีเตอร์ มาอิเวีย คุณตาของเขายึดเป็นอาชีพ
แต่จุดเปลี่ยนที่ทำให้เจ้าตัวหันมาสนใจอเมริกันฟุตบอล คือการได้พบกับ โจดี ชวิค ครูโรงเรียนมัธยม และโค้ชของทีมโรงเรียน ที่เชื่อว่าร่างกายสูงใหญ่ของ จอห์นสัน (6 ฟุต 4 นิ้ว หนัก 230 ปอนด์ ตอนเกรด 11) เหมาะสมจะเข้าสู่ทีม
ในมุมของ จอห์นสัน นี่เป็นโอกาสดีที่เขาจะได้เข้าเรียนในระดับมหาวิทยาลัย และเริ่มฝึกฝนอย่างหนักนับแต่นั้น
จอห์นสัน ได้รับข้อเสนอจากมหาวิทยาลัยชั้นนำหลายแห่ง ก่อนตอบรับมหาวิทยาลัยไมอามี ที่พร้อมให้ทุนเข้าเรียนจนจบระดับอุดมศึกษา
ตอนต้นทศวรรษที่ 1990 ไมอามี เฮอร์ริเคนส์ คือหนึ่งในทีมชั้นนำระดับมหาวิทยาลัย ด้วยผู้เล่นอย่าง เรย์ ลิวอิส สุดยอดไลน์แบ็กเกอร์ของ บัลติมอร์ เรฟเวนส์ และ วอร์เรน แซปป์ ดีเฟนซี แท็คเกิล ของ แทมปาเบย์ บัคคาเนียร์ส
ในมุมของ จอห์นสัน นี่เป็นโอกาสดีที่เขาจะได้เข้าเรียนในระดับมหาวิทยาลัย และเริ่มฝึกฝนอย่างหนักนับแต่นั้น
จอห์นสัน ซึ่งลงเล่นในตำแหน่งไลน์แบ็กเกอร์ ไม่สามารถแย่งตำแหน่งตัวจริงในทีมได้ แต่ก็ถือเป็นหนึ่งในสมาชิกของทีมตลอดสี่ปี โดยลงเล่นไปทั้งสิ้น 39 นัด ทำได้ 77 แท็กเกิล และ 4.25 แซ็ค
และนั่นก็ไม่เพียงพอ จะทำให้เจ้าตัวถูกเลือกในการดราฟท์ของ NFL ปี 1995 (ปีเดียวกับ แซปป์ ก่อนที่ ลิวอิส จะถูกดราฟท์ในปีถัดมา) ก่อนเซ็นสัญญากับ แคนาเดียน ฟุตบอลลีก (CFL) กับ คัลแกรี สแตมพีเดอร์ส ในช่วงพรีซีซัน
แต่ปัญหาบาดเจ็บจากสมัยเรียนมหาวิทยาลัย ก็มีส่วนทำให้เจ้าตัวถูกตัดออกจากทีมก่อนเริ่มฤดูกาลสองเดือน ยุติความฝันในฐานะผู้เล่นอเมริกันฟุตบอลโดยปริยาย
กำเนิดใหม่บนเวทีมวยปล้ำ
ด้วยคอนเนกชั่นจากพ่อและคุณตา ทำให้ จอห์นสัน ได้เซ็นสัญญากับ WWF (ในเวลานั้นยังไม่เปลี่ยนเป็น WWE) ในปีถัดมา ในชื่อ ร็อคกี มาอิเวีย
แต่ด้วยปัญหาร่างกาย และบทที่ได้รับไม่ถูกใจแฟนมวยปล้ำ ทำให้ จอห์นสัน ตัดสินใจเปลี่ยนชื่อตัวเองอีกครั้งเป็น "เดอะร็อค"
และมาพร้อมกับบุคลิกพูดจาขวานผ่าซาก ต่อปากต่อคำกับทุกคน ตั้งแต่นักมวยปล้ำ แฟนกีฬา หรือแม้แต่พิธีกรที่ถือไมค์สัมภาษณ์ จนกลายเป็นบุคลิกที่ทำให้เจ้าตัวเป็นที่จดจำมากกว่าเดิม และขึ้นถึงจุดพีกในฐานะแชมป์ของ WWF
คาแรกเตอร์ "เดอะร็อค" ยังเป็นดาวเด่นของวงการมวยปล้ำอย่างต่อเนื่อง รวมถึงช่วงรอยต่อในการเปลี่ยนแปลงจาก WWF เป็น WWE และเริ่มต่อยอดไปสู่การเป็นนักแสดงตอนต้นยุค 2000
และเมื่อสัญญาของเจ้าตัวกับ WWE หมดลงในปี 2004 "เดอะร็อค" ก็รีไทร์ตัวเอง เพื่อมุ่งหน้าสู่การเป็นนักแสดงแบบเต็มตัว
ฮอลลีวูดสตาร์ สู่นักธุรกิจมาแรง
นับแต่ขึ้นชั้นซูเปอร์สตาร์ ด้วยบทบาท ลุค ฮอบบ์ส ในแฟรนไชส์ Fast and Furious
จอห์นสัน ก็ใช้ทุกโอกาสที่ผ่านเข้ามา ให้เกิดประโยชน์สูงสุด จนกลายเป็นหนึ่งในนักแสดงที่มีค่าตัวระดับแถวหน้าของวงการ (ราว 20 ล้านดอลลาร์ต่อภาพยนตร์หนึ่งเรื่อง)
และเจ้าของบัญชีโซเชียลมีเดีย ที่มีผู้ติดตามมหาศาล โดยเฉพาะ @therock บน Instagram ที่มีฟอลโลเวอร์ถึง 293 ล้านคน (ข้อมูลในเดือนม.ค. 65)
และสิ่งเหล่านี้เองที่ทำให้เจ้าตัวยิ่งเป็นที่เชื่อถือมากขึ้น และมีส่วนสำคัญให้เมื่อเจ้าตัวเริ่มต้นธุรกิจ ก็ประสบความสำเร็จอย่างสูง จนอาจกลายเป็นอาชีพที่สร้างรายได้ให้เจ้าตัวยิ่งกว่างานแสดงด้วยซ้ำ
ทั้ง Project Rock ที่เป็นความร่วมมือกับ Under Armour แบรนด์กีฬาที่ระยะหลังหันมาเน้นเจาะกลุ่มลูกค้าฟิตเนสมากขึ้น
การได้ The Rock ซึ่งมีฟอลโลเวอร์มหาศาลบน Instagram มาร่วมงานด้วย ทำให้ Project Rock กลายเป็นแบรนด์เครื่องกีฬา ที่มีมูลค่าถึง 320 ล้านดอลลาร์ ในช่วงเวลาเพียงไม่กี่ปี และมีไลนสินค้าใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นตลอด จากเสื้อผ้า รองเท้า ไปสู่หูฟังสำหรับใส่ออกกำลังกาย
และในช่วงโควิด-19 ที่การออกกำลังกายในยิม หรือฟิตเนสได้รับผลกระทบ
จอห์นสัน ก็หันไปเปิดแบรนด์เตกิลา ในชื่อ Teremana ร่วมกับ ดานี การ์เซีย และ เคน ออสติน จนกลายเป็นแบรนด์เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ที่ติดตลาดอย่างรวดเร็ว
และอาจทำให้ จอห์นสัน กลายเป็นมหาเศรษฐีระดับพันล้านดอลลาร์ (Billionaire) ได้ในที่สุด
"คุณลองนึกภาพตามนะ ตอนนั้น จอร์จ คลูนีย์ ขายแบรนด์เตกิลาของเขา ได้เงินมา 1,000 ล้านดอลลาร์ ตอนนั้น เขาขายเตกิลาได้ปีละ 150,000-170,000 ลัง แต่ตอนนี้ Teramana ขายได้ปีละ 600,000 ลังแล้ว คุณลองคิดดูว่ามูลค่าปัจจุบันของบริษัทเรา และแบรนด์ของเราอยู่ที่ตรงไหน"
จอห์นสัน ให้สัมภาษณ์กับ Vanity Fair เมื่อปลายปีที่แล้วว่า ทุกวันนี้ บทบาทหลักของเขาเป็นทั้งนักธุรกิจ ผู้ประกอบการ และคนในวงการอุตสาหกรรม
ความสนุกของเขาในตอนนี้ คือการสร้างผลิตภัณฑ์และบริการที่จะส่งมอบคุณภาพต่อให้กับผู้บริโภคหรือผู้ใช้งาน
"เป้าหมายของผมตอนขึ้นปล้ำในงานเล็ก ๆ คือขอให้ได้เงินซักแมตช์ละ 40 ดอลลาร์ ก็พอ"
"ที่ผ่านมา ผมทำงานหนักเสมอ แต่ไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะได้เป็นนักแสดงที่มีค่าตัวสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ ผมไม่ได้เรียนจบ MBA จากฮาร์วาร์ด แต่ปรัชญาในกาารทำธุรกิจของผมถูกขัดเกลาครั้งแล้วครั้งเล่าผ่านความล้มเหลว"
"แต่จากวันที่ขึ้นปล้ำบนเวทีเล็ก ๆ จนถึงตอนนี้ เป้าหมายเดียวของผมที่ไม่เคยเปลี่ยนคือ ผู้ชม (ผู้บริโภค) ต้องมาก่อนเสมอ"