
KEY
POINTS
ศึกฟุตบอล ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบลีก เฟส กลับมาอีกครั้ง โดยมีคู่บิ๊กแมตช์ที่แฟนบอลจับตามองคือการพบกันระหว่าง "หงส์แดง" ลิเวอร์พูล กับ "ราชันชุดขาว" เรอัล มาดริด ที่สนามแอนฟิลด์ ในคืนวันอังคารนี้
หลังการตกรอบคาราบาว คัพ ด้วยการส่งชุดเด็กลงเจอกับคริสตัล พาเลซ อาร์เน่อ ชล็อต ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องพาทีมเก็บชัยในพรีเมียร์ลีกให้ได้ ไม่เช่นนั้นเสียงเรียกร้องให้ปลดอาจดังขึ้นจนเกินต้าน
ชัยชนะเหนือวิลล่าทำให้เขารอดจากการเป็นกุนซือคนแรกในประวัติศาสตร์ลิเวอร์พูลที่แพ้ 5 นัดติดในลีก โดยเกมนั้น โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ยิงประตูที่ 250 ให้กับสโมสร ก่อนที่ ไรอัน กราเฟนแบร์ค จะซัดลูกแฉลบปิดเกมในครึ่งหลัง
แม้ผู้มาเยือนจะผิดพลาดเองหลายจังหวะ แต่ก็ต้องยอมรับว่าผลงานโดยรวมของแข้งหงส์ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะเรื่องความมั่นใจและความดุดันที่กลับมาอีกครั้ง ซึ่งนี่เป็นเพียงชัยชนะนัดที่ 2 จาก 8 เกมหลังสุดในทุกรายการเท่านั้น
ก่อนหน้านี้ ลิเวอร์พูลเพิ่งโชว์ฟอร์มโหดถล่ม ไอน์ทรัค แฟรงก์เฟิร์ต 5-1 ในเกมยุโรปนัดที่สามของรอบลีกเฟส ทำให้พวกเขาขยับขึ้นมาติดกลุ่มท็อป 10 ของตาราง และมีแต้มเท่าทีมโควต้าเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้าย เพียงแต่เป็นรองเรื่องประตูได้เสีย
ชัยชนะเหนือแฟรงก์เฟิร์ตก่อนหน้านั้น ถูกคั่นด้วยความพ่ายแพ้ต่อกาลาตาซาราย และชัยชนะเหนือแอตเลติโก มาดริด 3-2 ที่แอนฟิลด์ ซึ่งนับเป็นการคว้าชัยในเกมยุโรปที่บ้านตัวเอง 15 นัดติดต่อกันของลิเวอร์พูล เป็นสถิติที่สะท้อนให้เห็นว่าพวกเขายังคงเป็น “ของแข็ง” ทุกครั้งเมื่อได้เล่นที่นี่
และอย่าลืมว่า เมื่อฤดูกาลก่อน ลิเวอร์พูลคือทีมที่หยุดสถิติไร้พ่ายของเรอัล มาดริดลงได้ ด้วยชัยชนะ 2-0 ในรอบลีกเฟสเช่นเดียวกัน หลังแพ้ให้ทีมจากสเปนถึง 7 จาก 8 นัดก่อนหน้านั้น
แอนฟิลด์กลายเป็นสนามที่ “สังเวียนแห่งความทรงจำ” สำหรับทั้งคาร์โล อันเชล็อตติและชาบี อลอนโซ่ เพราะทั้งคู่เคยพาทีมของตัวเองมาแพ้ที่นี่มาแล้วในช่วงปี 2024–26 (โดยเฉพาะเกมที่ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น ของอลอนโซ่โดนยิง 4-0)
แต่การกลับมาคราวนี้ อลอนโซ่ในฐานะนายใหญ่ของเรอัล มาดริด กำลังพาทีมที่แทบจะ “ชนะทุกอย่างที่ขวางหน้า” เดินทางมาสู่เมอร์ซีย์ไซด์ด้วยความมั่นใจเต็มพิกัด
ราชันชุดขาวคว้าชัย 3 นัดรวดในยุโรป เหนือทั้งมาร์กเซย, ไครัต และล่าสุดยูเวนตุส พร้อมกับครองจ่าฝูงลาลีกาหลังถล่มบาเลนเซีย 4-0 ต่อจากเกมเอล กลาซิโก้ ที่เฉือนบาร์เซโลน่าอย่างสุดระทึก
จาก 14 เกมรวมทุกรายการในซีซันนี้ เรอัล มาดริดชนะถึง 13 นัด และแพ้เพียงเกมเดียว คือเกมดาร์บี้ที่โดนแอตเลติโก มาดริดถล่ม 5-2
แม้พวกเขาจะมี 9 คะแนนจาก 3 นัดเท่ากับอีก 4 ทีมในแชมเปียนส์ลีก (เปแอสเช, บาเยิร์น, อินเตอร์ และอาร์เซน่อล) แต่เป็นทีมที่มีประตูได้เสียน้อยสุดในกลุ่มนั้น อยู่ในอันดับ 5 ของตารางรวม อย่างไรก็ตาม ทุกคนรู้ดีว่า “อย่าประมาทเรอัล มาดริดในเกมยุโรปเด็ดขาด” เพราะนี่คือทีมที่มักหาทางชนะได้ในจังหวะที่คนอื่นหมดหวังเสมอ
ฝั่งลิเวอร์พูลได้ข่าวดีเมื่อ ไรอัน กราเฟนแบร์ค ฟื้นจากอาการข้อเท้าเจ็บและกลับมาลงสนามได้เมื่อสุดสัปดาห์ แต่ยังไม่มีชื่อของ อเล็กซานเดอร์ อิซัค และ เคอร์ติส โจนส์ ที่เจ็บกล้ามเนื้อขาหนีบ โดยชล็อตยืนยันว่ามีโอกาสเพียง “0.01%” ที่ทั้งคู่จะพร้อม
โจนส์กลับมาซ้อมได้แล้ว แต่ยังไม่แน่ว่าจะมีชื่อในทีม ขณะที่อิซัคถูกตัดชื่อออกแน่นอน เช่นเดียวกับผู้เล่นที่ยังพักยาวอย่าง อลีสซง เบ็คเกอร์ (เอ็นหลังหัวเข่า), โจวานนี่ เลโอนี่ (เอ็นไขว้หน้า) และ เจเรมี ฟริมปง (กล้ามเนื้อแฮมสตริง)
เกมนี้ชล็อตน่าจะยึดทีมจากเกมชนะวิลล่าเป็นหลัก โดยคาดว่า อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ และ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน จะยังได้ออกสตาร์ต ขณะที่ ฟลเรียน เวียร์ตซ์ และ มิลอส เคอร์เคซ น่าจะยังเป็นสำรอง
ด้าน เรอัล มาดริด ชาบี อลอนโซ่ จะขาดแนวรับตัวหลักถึงสามคนคือ ดานี่ การ์บาฆาล (หัวเข่า), อันโตนิโอ รือดิเกอร์ (กล้ามเนื้อ) และ ดาวิด อลาบา (น่อง) รวมถึงดาวรุ่ง ฟรังโก มาสตันตูโอโน่ (อาการกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน)
เดิมที การ์บาฆาลจะพ้นโทษแบนในเกมนี้ แต่โชคร้ายต้องพักยาวถึงปี 2026 ทำให้ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ มีโอกาสลงสนามพบต้นสังกัดเก่าครั้งแรกนับตั้งแต่ย้ายออกจากแอนฟิลด์ อย่างไรก็ตาม เขายังไม่ได้ลงเล่นเลยแม้แต่นาทีเดียวหลังหายเจ็บแฮมสตริง และมีเพียงชื่อเป็นตัวสำรองในสองเกมลีกล่าสุด ดังนั้นหากอลอนโซ่เห็นว่ายังไม่พร้อม เฟเดริโก้ วัลเวร์เด้ อาจถูกถอยลงมายืนแบ็กขวาอีกครั้ง
-----
คืนวันอังคารที่ 4 พฤศจิกายน 2025