
สำหรับ อาร์เน่อ ชล็อต ผู้จัดการทีม ลิเวอร์พูล เวลานี้คือบททดสอบใหญ่ที่สุดในอาชีพของเขา เพราะเป็นช่วงเวลาที่ทีมพ่ายแพ้สามนัดติดต่อกัน และฟอร์มการเล่นตกต่ำอย่างต่อเนื่อง จนทำให้หลายคนเริ่มตั้งคำถามถึงแนวทางที่เขาวางไว้ตั้งแต่ซัมเมอร์
ความพ่ายแพ้ล่าสุดที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์ จากลูกยิงของดาวรุ่งเชลซีอย่าง เอสเตเวา ในช่วงท้ายเกม สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาหลายด้าน ทั้งเกมรุกที่ขาดความเฉียบคม เกมรับที่มีช่องโหว่ และความสับสนในแท็กติกที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
ชล็อตต้องการให้ลิเวอร์พูลครองบอลมากขึ้น เจาะแนวรับคู่แข่งให้เฉียบกว่าเดิม นั่นคือเหตุผลที่สโมสรทุ่มเงินกว่า 450 ล้านปอนด์ ไปกับการเสริมแนวรุก แต่ในทางกลับกัน การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่กลับทำให้ทีมสูญเสีย “สิ่งที่เคยมี” นั่นคือการควบคุมเกม, ความสมดุล และความมั่นใจ
ฤดูกาลนี้ ลิเวอร์พูลเสียสองประตูในเกมเดียวถึง 6 จาก 11 นัด นั่นคือสัญญาณของการขาดความแข็งแกร่งและความเข้าใจในเกมรับที่เคยเป็นจุดเด่น
นอกจากนั้น ฟอร์มตกของผู้เล่นตัวหลักยังเป็นอีกปัจจัยสำคัญ โมฮาเหม็ด ซาลาห์, อิบราฮิมา โกนาเต้, อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ และ โคดี้ กัคโป ต่างเล่นไม่ถึงมาตรฐานที่พวกเขาเคยทำได้ ขณะที่แผงหลังต้องสลับตำแหน่งอยู่ตลอดเพื่อกลบช่องโหว่ของ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ที่ย้ายออกไป โดยบางครั้งถึงกับต้องขยับ โดมินิค โซโบซไล มาเล่นแบ็กขวาชั่วคราว ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความไม่ลงตัวในแผนการเล่นอย่างชัดเจน
อีกหนึ่งจุดอ่อนที่ถูกพูดถึงมากคือ “การไม่ช่วยเกมรับ” ของ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ปัญหาเล็กๆ ที่กลายเป็นบ่อเกิดของความเสียหายหลายครั้งในแนวป้องกันด้านข้าง
ชล็อตอาจตั้งใจให้ซาลาห์อยู่สูงทางฝั่งขวาเพื่อเก็บพลังไว้เล่นเกมสวนกลับ ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่สมเหตุสมผล เพราะพวกเขาได้ประตูจากการเล่นลักษณะนี้มาหลายต่อหลายครั้ง แต่สิ่งที่ตามมาคือ แบ็กขวาของทีมต้องรับศึกหนักคนเดียวกับการโดนรุมสองต่อหนึ่งจากคู่แข่ง ซึ่งเป็นสิ่งที่ทีมอื่นๆ คงสังเกตเห็นและนำมาใช้เป็นจุดโจมตีอย่างแน่นอน ดังที่ มาร์ค กูกูเรย่า แบ็กของ เชลซี กล่าวไว้หลังเกม
"ผมคิดว่าจุดอ่อนของพวกเขาคือการเล่นในสไตล์เดียวโดย ซาลาห์ พร้อมเล่นเกมโต้กลับ ดังนั้นเราจึงเตรียมตัวกันมาเป็นอย่างดี หากเราผ่านบอลได้ บางทีมันอาจมีช่องว่างเหลือเฟือ ดังนั้นเราจึงพยายามทำสิ่งนี้ และเกมนี้มันได้ผล เราสามารถชนะได้ในแนวทางนี้"
สิ่งที่น่ากังวลที่สุดไม่ใช่เพียงการแพ้สามนัดติดต่อกัน แต่คือการที่ลิเวอร์พูลดู “ไร้การควบคุมเกม” เช่นช่วงครึ่งชั่วโมงสุดท้ายในเกมกับเชลซีคือภาพสะท้อนของความวุ่นวายโดยแท้จริง เกมเปิดแลกแบบไม่มีจังหวะชะลอหรือดึงสปีดให้เหมาะสม ทั้งที่พวกเขามีโอกาสจะชนะ
การเสีย หลุยส์ ดิอาซ และการจากไปของ ดิโอโก้ โชต้า ทำให้เกมรุกขาดมิติสำคัญ ยิ่งไปกว่านั้นยังส่งผลให้บรรยากาศในห้องแต่งตัวได้รับผลกระทบ ซึ่งแม้แต่กัปตันอย่าง เฟอร์จิล ฟาน ไดจ์ค ยังยอมรับว่าเป็นสิ่งที่ทีมต้องผ่านไปด้วยกัน
อย่างไรก็ตาม กัปตันทีมลิเวอร์พูลยังเรียกร้องให้ทุกคนมองภาพรวมอย่างมีเหตุผล ทีมยังตามหลังจ่าฝูงเพียงแต้มเดียว นี่ไม่ใช่วิกฤต หากแต่เป็น “ช่วงเปลี่ยนผ่าน” ที่ต้องใช้ความอดทน
ช่วงพักเบรกทีมชาติอาจเป็นสิ่งที่เหมาะเจาะที่สุดในตอนนี้ เพราะไม่มีโมเมนตัมใดให้ต้องรักษาไว้ ลิเวอร์พูลมีเวลาได้ทบทวนว่าอะไรคือสิ่งที่ผิดพลาด และจะดึงตัวเองกลับจากหลุมลึกนี้อย่างไร
คำถามใหญ่คือ “ชล็อตจะพาลิเวอร์พูลกลับสู่เส้นทางได้อย่างไร” คำตอบอาจอยู่ที่การกลับไปยึดหลักเดิมของเขา นั่นคือ ความอดทนและการควบคุมเกม มากกว่าการเปิดหน้าแลกโดยไม่จำเป็น
เขาไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนปรัชญา แต่ต้องหาความสมดุลระหว่างเกมรุกที่ดุดันกับเกมรับที่มีวินัย หากชล็อตหาจุดร่วมทั้งสองจุดนี้ได้ ความสมดุลที่หายไปก็อาจกลับมาอีกครั้งในไม่ช้า