
ในเกมแรกหลังจากที่ เควิน เดอ บรอยน์ ประกาศอำลาทีมอย่างเป็นทางการ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ จะออกเดินทางข้ามเมืองสั้น ๆ เพื่อเยือนโอลด์ แทรฟฟอร์ด ทำศึกแมนเชสเตอร์ดาร์บี้กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
แม้แฟนบอลแมนฯ ยูไนเต็ด และคู่แข่งหลายทีมอาจรู้สึกโล่งใจที่ เดอ บรอยน์ จะโบกมือลาในช่วงซัมเมอร์ แต่ดาร์บี้แมตช์นี้จะเป็นโอกาสสุดท้ายที่จอมทัพเบลเยียมจะได้ดวลกับ "ปีศาจแดง" ก่อนจบเส้นทาง 10 ปีอันรุ่งโรจน์กับทีมเรือใบสีฟ้า
ลูกทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา เพิ่งกลับมาจากเบรกทีมชาติด้วยชัยชนะ 2-0 เหนือเลสเตอร์ ซิตี้ในเกมกลางสัปดาห์ ขณะที่เจ้าบ้านยูไนเต็ดสะดุดอีกครั้งกับความพ่ายแพ้นัดที่ 13 ของฤดูกาล หลังบุกพ่ายน็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์
ในเกมกลางสัปดาห์ ซิตี้ได้ประตูจาก แจ็ค กรีลิช (ประตูแรกในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้) และ โอมาร์ มาร์มูช ช่วยให้ทีมกลับมาเก็บชัยในลีกได้อีกครั้ง หลังแพ้มา 2 นัดติด และทะยานขึ้นไปติดท็อปโฟร์ชั่วคราว ก่อนจะถูกเชลซีแซงและต้องกลับลงมาอยู่อันดับ 5
แม้อันดับ 5 อาจเพียงพอต่อการคว้าตั๋วแชมเปียนส์ลีก จากค่าสัมประสิทธิ์ยูฟ่าของทีมจากอังกฤษ แต่ผลงานเกมเยือนในลีกของซิตี้ถือว่ายังน่ากังวล โดยเก็บชัยได้เพียง 3 จาก 11 นัดหลังสุด และแพ้ถึง 6 เกม ซึ่งเท่ากับจำนวนความพ่ายแพ้ที่พวกเขามีใน 37 นัดก่อนหน้านั้นรวมกัน
ด้านยูไนเต็ด พวกเขาเพิ่งแพ้ฟอเรสต์ โดยโดนอดีตแข้งของทีมอย่าง แอนโธนี อีลังก้า ลงโทษ ด้วยการลากเลื้อยเดี่ยวทำประตูตั้งแต่นาทีที่ 5 กลายเป็นอีกครั้งที่ตลาดซื้อขายของ "ปีศาจแดง" ถูกตั้งคำถาม โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับผลงานของนักเตะอย่าง อันโตนี, ซานโช, ฮอยลุนด์ หรือ เซิร์กซี
ยูไนเต็ดไม่สามารถเก็บชัยชนะได้ในช่วงเวลาที่เหลือ แม้จะมีเวลาอีก 85 นาที และทำให้สถิติไร้พ่าย 4 นัดติดต่อกันทุกรายการต้องสิ้นสุดลง พร้อมกับการหลุดจากครึ่งบนของตาราง
อย่างไรก็ตาม พวกเขายังมีโอกาสคว้าแชมป์ยูโรปาลีก โดยจะพบกับ โอลิมปิก ลียง ในเลกแรกของรอบ 8 ทีมสุดท้ายวันพฤหัสนี้ แต่ผลงานในบ้านยังน่าห่วง เพราะไม่สามารถเก็บคลีนชีตในบ้านได้เลยตลอด 12 นัดหลังสุด
ชัยชนะในบ้านล่าสุดที่ไม่เสียประตูต้องย้อนไปถึงเดือนธันวาคม (ชนะเอฟเวอร์ตัน 4-0) และแม้จะเคยเอาชนะซิตี้ในเกมดาร์บี้ก่อนหน้านี้ 2-1 ที่เอติฮัด แต่ใน 3 ดาร์บี้หลังสุด ยูไนเต็ดก็ไม่แพ้ในเวลา 90 นาทีเลย