
การแข่งขันที่เคยเป็นตัวตัดสินแชมป์พรีเมียร์ลีกระหว่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และ ลิเวอร์พูล ในครั้งนี้ กลับให้ความรู้สึกที่แตกต่างออกไป เมื่อทั้งสองทีมกำลังเผชิญกับเป้าหมายที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง
แมนฯ ซิตี้ ตามหลังจ่าฝูงถึง 17 แต้ม ความหวังในการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกเป็นสมัยที่ห้าติดต่อกันหมดไปแล้ว แต่พวกเขายังคงต้องต่อสู้เพื่อจบฤดูกาลในตำแหน่งท็อปโฟร์ ส่วน ลิเวอร์พูล กำลังลุ้นทำสถิติคว้าแชมป์ลีกสูงสุดสมัยที่ 20
อย่างไรก็ตาม ลิเวอร์พูลยังอยู่ในสภาพทีมที่ดี และ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ฟิตสมบูรณ์ พร้อมลงสนาม โดยมีสถิติที่ยอดเยี่ยมในการเจอกับ ซิตี้
แม้ฟอร์มโดยรวมจะไม่ดี แต่ทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ยังมีเกมรุกที่อันตราย พวกเขาจะพยายามครองบอลและสร้างโอกาส แต่ความหวังขึ้นอยู่กับความพร้อมของ เออร์ลิง ฮาลันด์ หากเขาลงสนามได้ ความแข็งแกร่งของซิตี้จะเพิ่มขึ้นอย่างมาก
อย่างไรก็ตาม การขาด จอห์น สโตนส์ อาจทำให้แนวรับของพวกเขามีช่องโหว่ โดยเฉพาะเมื่อต้องรับมือเกมสวนกลับเร็วของ ลิเวอร์พูล
ลิเวอร์พูลจะใช้เกมสวนกลับเล่นงานแนวรับของซิตี้ โดย โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ซึ่งมีส่วนร่วมโดยตรงกับ 13 ประตูในการเจอซิตี้ (8 ประตู, 5 แอสซิสต์) จะเป็นอาวุธหลักของทีม
ในแนวรับ พวกเขาจะต้องรับมือเกมรุกของซิตี้โดยใช้ เฟอร์จิล ฟาน ไดจ์ค และ อิบราฮิม่า โกนาเต้ เป็นแกนหลัก ขณะที่ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ จะต้องสร้างสมดุลระหว่างการเติมเกมรุกและการช่วยเกมรับ
เกมนี้เต็มไปด้วยความน่าติดตาม ทั้งสองทีมต่างมีจุดแข็งในเกมรุกและแรงจูงใจที่แตกต่างกัน แมนฯ ซิตี้ ต้องการ 3 คะแนนเพื่อรักษาความหวังในการจบท็อปโฟร์ ขณะที่ ลิเวอร์พูล ต้องการชัยชนะเพื่อรักษาระยะห่างจากอาร์เซน่อลในการลุ้นแชมป์
การขาดหายไปของ ฮาลันด์ อาจทำให้ลิเวอร์พูลได้เปรียบเล็กน้อย แต่ด้วยฟอร์มในบ้านที่แข็งแกร่งของซิตี้ พวกเขาก็ยังมีโอกาสเก็บแต้มจากเกมนี้ ทำให้คาดว่าจะเป็นเกมที่เปิดแลกและมีโอกาสทำประตูกันทั้งสองฝ่าย