svasdssvasds
เนชั่นทีวี

กีฬา

คืนนี้แฟนหงส์ขอแบบนี้! ย้อน ท็อป 5 เกมคัมแบ็กแห่งความทรงจำของ "ลิเวอร์พูล"

18 เมษายน 2567
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

ย้อนรำลึกถึง 5 เกมคัมแบ็กแห่งความทรงจำของ ลิเวอร์พูล ที่พวกเขาต้องพยายามทำแบบนี้ให้ได้อีกครั้ง ในการพบกับ อตาลันต้า คืนนี้

ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา "ลิเวอร์พูล" ทีมดังแห่งเกาะอังกฤษ มีชื่อเสียงในด้านทัศนคติที่ "ไม่มีวันตาย" หรือการคัมแบ็กกลับมาหลังตกเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำคู่แข่งอยู่เสมอ การคัมแบ็กของหงส์แดงในโลกของฟุตบอลนั้นเกิดขึ้นอยู่เป็นประจำจนทำให้หลายทีมที่ต้องเผชิญหน้ากับพวกเขาต่างรู้ดีว่าการขึ้นนำไปก่อนไม่ได้มีความหมาย

ปฏิเสธไม่ได้ว่า หลังจากความพ่ายแพ้ต่อ อตาลันต้า 0-3 ในยูโรปา ลีก เลกแรก ทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์ มีภารกิจที่ยากลำบากในการผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศ อย่างไรก็ตาม หากจะพูดถึงการคัมแบ็ก ไม่มีทีมไหนที่จะรู้ดีไปกว่าทีมนี้

Nation STORY ขอรวบรวม 5 อันดับการคัมแบ็กของลิเวอร์พูลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ และสาวก "เดอะ ค็อป" ทุกคนต่างต้องภาวนาว่ามันจะเกิดขึ้นอีกครั้งในคืนนี้


ลิเวอร์พูล 3-1 โอลิมเปียกอส (ภาพ : UEFA.tv)

อันดับ 5 ลิเวอร์พูล 3-1 โอลิมเปียกอส (ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก รอบแบ่งกลุ่ม ฤดูกาล 2004/05)
ลิเวอร์พูล ลงแข่งขันเกมสุดท้ายของรอบแบ่งกลุ่ม ด้วยเงื่อนไขที่ว่าจะต้องเอาชนะ โอลิมเปียกอส ด้วยผลต่าง 2 ประตูขึ้นไปถึงจะผ่านเข้ารอบน็อกเอาต์ได้

สถานการณ์ยากลำบากขึ้นไปอีก เมื่อ ริวัลโด้ จอมทัพชาวบราซิล ยิงให้ทีมดังจากกรีซขึ้นนำไปก่อนในครึ่งแรก นั่นหมายความว่า 45 นาทีที่เหลือ หงส์แดง ต้องยิงถึง 3 ลูก อย่างไรก็ตามพวกเขาก็ทำได้ เริ่มจากประตูของ ฟลอร็องต์ ซินาม่า-ปงโกลล์ และ นีล เมลเลอร์ ก่อนมาปิดท้ายด้วยลูกยิงสุดสวยของกัปตันทีม สตีเว่น เจอร์ราร์ด ในช่วงท้ายเกม ช่วยให้ ลิเวอร์พูล เอาชนะไป 3-1 ผ่านเข้ารอบได้อย่างหวุดหวิด

(ชมคลิปที่นี่)

ลิเวอร์พูล 3-3 เวสต์แฮม (ภาพ: Liverpoolfc.tv)

อันดับ 4 ลิเวอร์พูล 3-3 เวสต์แฮม (เอฟเอ คัพ นัดชิงชนะเลิศ ฤดูกาล 2005/06)
ชั่วโมงนั้นจะบอกว่า สตีเว่น เจอร์ราร์ด คือ "เดอะ แบก" ของลิเวอร์พูลก็คงไม่ผิด โดยเกม เอฟเอคัพ นัดชิงชนะเลิศ หงส์แดงพลาดท่าโดนนำห่างไปก่อนถึง 0-2 จากการทำเข้าประตูตัวเองของ เจมี่ คาร์ราเกอร์ และอีกลูกจาก ดีน แอชตัน อย่างไรก็ตาม เจอร์ราร์ด ก็มาจ่ายให้ ฌิบริล ซิสเซ่ ยิงให้ทีมไล่มาเป็น 1-2 เมื่อจบครึ่งแรก

ครึ่งหลัง เจอร์ราร์ด คนเดิม มายิงตีเสมอให้ลิเวอร์พูลเป็น 2-2 แต่ "ขุนค้อน" ก็ขึ้นนำได้อีกครั้ง จาก พอล คอนเชสกี้ เกมทำท่าว่าหงส์แดงจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ แต่แล้วในนาทีสุดท้าย เจอร์ราร์ด คนเดิม ก็จัดการยิงไกลระยะกว่า 30 หลา ช่วยให้ ลิเวอร์พูล ตามตีเสมอได้อย่างหวุดหวิด ก่อนไปเอาชนะได้ในการดวลลูกจุดโทษ คว้าเเชมป์เอฟเอ คัพ สมัยที่ 7 ไปครองได้สำเร็จ

และนั่นคือหนึ่งในเกมที่ดีที่สุดในชีวิตของ สตีเว่น เจอร์ราร์ด

(ชมคลิปที่นี่)

ลิเวอร์พูล 4-3 ดอร์ทมุนด์ (ภาพ : Liverpoolfc.tv)

อันดับ 3 ลิเวอร์พูล 4-3 โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ (ยูโรปาลีก รอบ 8 ทีมสุดท้าย ฤดูกาล 2015/16)
เลกที่สองที่แอนฟิลด์หลังจากเสมอกัน 1-1 ที่บ้านดอร์ทมุนด์ เกมนี้ "เสือเหลือง" ออกสตาร์ทได้อย่างร้อนแรงด้วยสองประตูใน 10 นาทีแรกของเกม จาก เฮนริคห์ มคิตาร์ยาน กับ ปิแอร์-เอเมอริก โอบาเมย็อง นั่นหมายความว่าผลเสมอไม่พอแล้วเนื่องจาดดอร์ทมุนด์ได้ประตูทีมเยือนที่เหนือกว่าเป็นที่เรียบร้อย

ประตูของดิว็อค โอริกี้ ช่วยให้หงส์แดงดึงเกมกลับมา ก่อนที่ มาร์โก รอยส์ จะทำประตูให้ดอร์ทมุนด์นำห่างไปอีกเป็น 3-1 ขณะที่เหลือเวลาอีกแค่ครึ่งชั่วโมง แต่พลพรรคหงส์แดงรวมใจสู้เต็มที่ ก่อนที่ ฟิลิปเป้ คูตินโญ่ และ มามาดู ซาโก้ จะมาทำคนละประตูช่วยให้ทีมตีเสมอเป็น 3-3

ดอร์ทมุนด์ ตั้งรับอย่างอดทนเพราะหากจบด้วยสกอร์นี้พวกเขาจะผ่านเข้ารอบตัดเชือก แต่แล้วในช่วงทดเจ็บนาทีที่ 90+1 แอนฟิลด์ก็ต้องสั่นสะเทือน เมื่อ เดยัน ลอฟเรน มาโขกประตูชัยช่วยให้ ลิเวอร์พูล ชนะไปสุดมันส์ 4-3 และเกมนี้ก็ได้รับการยกย่องว่าเป็นแมตช์ที่ดีที่สุดตลอดกาลของถ้วยยูโรปาลีกนับถึงปัจจุบัน

(ชมคลิปที่นี่)

ลิเวอร์พูล 4-0 บาร์เซโลน่า (ภาพ: Liverpoolfc.tv)

อันดับ 2 ลิเวอร์พูล 4-0 บาร์เซโลน่า (ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก รอบรองชนะเลิศ ฤดูกาล 2018/19)
จากความพ่ายแพ้ 0-3 ที่คัมป์นูในเลกแรก แถมยังมีปัญหาตัวผู้เล่นแนวรุกที่ต้องขาด 2 ตัวเก่งอย่าง โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ กับ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ที่บาดเจ็บทั้งคู่ ทำให้ไม่มีใครเชื่อว่า ลิเวอร์พูล จะพลิกนรกเอาชนะทีมแกร่งอย่าง บาร์เซโลน่า ที่นำทัพมาโดย ลิโอเนล เมสซี่ พร้อมกับสองศิษย์เก่าหงส์แดงอย่าง ฟิลิปเป้ คูตินโญ่ กับ หลุยส์ ซัวเรซ ได้

อย่างไรก็ตาม ดิว็อค โอริกี้ ช่วยจุดประกายความหวังตั้งแต่นาทีที่ 7 ก่อนจะมายิง 2 ลูกรวดในครึ่งหลัง จาก จอร์จินิโอ ไวจ์นัลดุม ทำให้สกอร์รวมมาเสมอกัน 3-3

นาทีที่ 79 สาวกเดอะค็อปได้เฮกันลั่นสนาม เมื่อ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์ ฉวยจังหวะเล่นเตะมุมเร็วให้ ดิว็อก โอริกี้ ยิงเสยตาข่าย เป็นประตูชัยให้ลิเวอร์พูลชนะ 4-0 รวมผลสองนัดชนะ 4-3 

ซึ่งเกมนี้ ยูฟ่า ยกให้เป็นหนึ่งในแมตช์ที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ยูซีแอลทีเดียว

(ชมคลิปที่นี่)

ลิเวอร์พูล 3-3 เอซี มิลาน (ภาพ: The Independent)

อันดับ 1 ลิเวอร์พูล 3-3 เอซี มิลาน (ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก นัดชิงชนะเลิศ ฤดูกาล 2004/05)
ไม่มีเกมไหนจะยิ่งใหญ่ไปกว่า "ปาฏิหาริย์แห่งอิสตันบูล" อีกแล้ว เพราะเกมนี้ได้รับการยกย่องจากสื่อทุกสำนักว่าเป็นหนึ่งในการคัมแบ็กที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอล 

ลิเวอร์พูล เข้าสู่รอบชิงชนะเลิศกับ เอซี มิลาน ด้วยความเป็นรองในทุกด้าน ฝั่ง "ปีศาจแดงดำ" มีผู้เล่นระดับโลกอย่าง เปาโล มัลดินี่, อันเดรีย ปีร์โล่, คลาเรนซ์ เซดอร์ฟ, กาก้า และ อังเดร เชฟเชนโก้ ขณะที่ทางฝั่งหงส์แดงชุดนั้นจะหานักเตะในระดับใกล้เคียงกันแทบไม่เจอ

และแค่ 45 นาทีแรกก็เหมือนจะตัดสินเกมไปแล้ว เมื่อ มิลาน เป็นฝ่ายนำห่างถึง 3-0 จาก เปาโล มัลดินี่ และ เอร์นัน เครสโป (2 ประตู) แต่ ลิเวอร์พูล ภายใต้การนำทัพของ ราฟา เบนิเตซ ยังไม่ยอมแพ้ แก้เกมกลับมาได้อย่างยอดเยี่ยมในครึ่งหลัง ก่อนใช้เวลาแค่ 13 นาที ตีเสมอเป็น 3-3 จาก สตีเว่น เจอร์ราร์ด, วลาดิเมียร์ ซมิเชอร์ และจุดโทษของ ชาบี อลอนโซ่ ทำให้เกมยืดเยื้อไปถึงช่วงต่อเวลาพิเศษ

เจอร์ซี่ย์ ดูเด็ค โชว์ซูเปอร์เซฟป้องกันลูกยิงจ่อๆของ อังเดร เชฟเชนโก้ ได้อย่างเหลือเชื่อ ยิ่งทำให้ปีศาจแดงดำเสียขวัญ ตรงกันข้ามกลายเป็นการทำให้แฟนๆและนักเตะหงส์แดงยิ่งมีกำลังใจ และสุดท้าย ดูเด็ค กับท่าเซฟจุดโทษ "สปาเก็ตตี้ เลก" ที่กลายเป็นตำนานของเขา ก็ช่วยให้ หงส์แดง คว้าแชมป์ยุโรปสมัยที่ 5 ไปครองได้ในที่สุด

(ชมคลิปที่นี่)

logoline