โดยการประกาศดังกล่าวเกิดขึ้น 13 เดือนหลังจากตระกูล เกลเซอร์ เจ้าของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ระบุว่าพวกเขากำลังพิจารณาขายทีมเพื่อสำรวจทางเลือกเชิงกลยุทธ์ ซึ่ง เซอร์จิม แรตคลิฟฟ์ เป็นหนึ่งในสองตัวเต็งที่ติดต่อขอเทคโอเวอร์ แมนฯ ยูไนเต็ด เช่นเดียวกับ ชีค ยัสซิม แห่งกาตาร์ ก่อนที่รายหลังจะตัดสินใจถอนตัวเนื่องจากมองว่าตระกูลเกลเซอร์ไม่ได้ต้องการขายสโมสรจริงๆ
จากการถอนตัวดังกล่าว ส่งผลให้ เซอร์ แรตคลิฟฟ์ เบนเข็มหันมาติดต่อขอซื้อหุ้นสโมสรจำนวน 25% แทน ก่อนจะบรรลุข้อตกลงกันได้ในที่สุด
"แมนฯ ยูไนเต็ด ขอประกาศในวันนี้ว่าตกลงให้ เซอร์จิม แรตคลิฟฟ์ ประธาน INEOS เข้าถือครองหุ้นคลาสบีของสโมสร 25% แล้ว บวกกับหุ้นคลาสเออีก 25% รวมทั้งการรับมอบเงินอีก 300 ล้านดอลลาร์ (ราว 10,800 ล้านบาท) เพื่อเข้าร่วมลงทุนในอนาคตกับถิ่น โอลด์ แทรฟฟอร์ด" แถลงการณ์จาก แมนฯยูไนเต็ด ระบุ
"ในขั้นตอนนี้ INEOS ยอมรับคำขอของบอร์ดต่อการรับผิดชอบการจัดการกับปฏิบัติการฟุตบอลของสโมสรซึ่งจะรวมทั้งทีมชาย ทีมหญิง และทีมอะคาเดมี่ ตลอดจนการมีสองเก้าอี้ในบอร์ดของ แมนฯ ยูไนเต็ด"
ด้าน เซอร์จิม แรตคลิฟฟ์ ก็ออกมาแถลงเช่นกัน โดยระบุว่า "ในฐานะเด็กท้องถิ่น และเป็นแฟนของสโมสรมาตลอดชีวิต ผมพอใจมากที่เราตกลงทำสัญญากับบอร์ดของ แมนฯ ยูไนเต็ด ได้แล้ว"
"แม้สโมสรจะประสบความสำเร็จในทางธุรกิจซึ่งเป็นหลักประกันถึงการมีเงินทุนต่อการพาทีมคว้าแชมป์ในระดับสูง แต่ในระยะหลังศักยภาพตรงนี้ยังไม่ได้รับการปลดปล่อยออกมาอย่างเต็มที่"
"เราจะนำเอาความรู้ และความเชี่ยวชาญของ INEOS Sport group มาช่วยผลักดันให้สโมสรพัฒนาอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งให้การสนับสนุนเงินทุนเพื่อรองรับการลงทุนในอนาคตที่โอลด์ แทรฟฟอร์ด"
"เรามุ่งมั่นที่จะร่วมงานกับทุกคนในสโมสรทั้งบอร์ด สตาฟฟ์ นักเตะ และแฟน เพื่อผลักดันทีมไปข้างหน้า เราอยากเห็น แมนฯ ยูไนเต็ด กลับไปอยู่ในจุดเดิมที่เราเคยอยู่ คือการเป็นยอดทีมของอังกฤษ ยุโรป และในโลก"