
จากกรณี แม่ค้าขายส้มตำไปจำนำทองไว้ที่ร้านรับจำนำทองแห่งหนึ่งในเขตพื้นที่ อ.แม่สาย จ.เชียงราย เป็นทองรูปพรรณ 2 บาท ซึ่งเจ้าของร้านทองก็รู้จักกันเป็นอย่างดี เคยใช้บริการยามขัดสนมาเป็นเวลา 10 กว่าปี แต่ล่าสุดไปขอต่อดอกทองที่จำนำไว้ กับพบว่ามีเจ้าของร้านคนใหม่มารับช่วงต่อ ทำให้ไม่สามารถต่อดอกทองได้
13 ตุลาคม 2568 นางจันทร์เพ็ญ ขัยนภัสวรกูล อายุ 61 ปี แม่ค้าขายส้มตำข้างที่ว่าการอำเภอแม่สาย เปิดเผยว่า วันที่ 14 เม.ย.2567 ได้นำแหวนทองคำ น้ำหนัก 3.5 กรัม จำนวน 1 วง จำนำไว้ 6,000 บาท ดอกเบี้ยร้อยละ 1 บาทต่อเดือน จำนวนเงิน 60 บาท/เดือน และต่อมาได้นำสร้อยคอทองคำน้ำหนัก 7.6 กรัม 1 เส้นไปจำนำที่ร้านทองเดิมอีกครั้ง เป็นจำนวนเงิน 12,000 บาท ดอกเบี้ยเหมือนเดิมร้อยละ 1 บาท/เดือน ดอกเบี้ย 120 บาท/เดือน
ต่อมาวันที่ 30 พ.ย.2567 ได้นำแหวนทองคำน้ำหนัก 1.9 กรัม 1 วง ไปจำนำที่ร้านเดิมอีก ได้เงินมา 3,000 บาท ดอกเบี้ย 30 บาท/เดือน และยังมีทองสร้อยคออีก 1 บาท 1 เส้น จำนำไว้ 20,000 บาท
ซึ่งจากการคำนวณ ปี 2567 ราคาทองรูปพรรณ 1 บาท ราคาสูงสุดที่ประมาณ 45,000 บาท และปี 2568 ราคาสูงสุดประมาณ 62,700 บาท ด้วยที่ใช้บริการร้านทองดังกล่าวเป็นประจำ และใช้มานาน ทำให้รู้จักกับ “เจ๊เจ้าของร้าน” เป็นอย่างดี จึงได้คุยเจ๊ว่า จะมาต่อดอกเบี้ย โดยจะมา 2 เดือนครั้ง หรือ 3 เดือนครั้งแล้วแต่สะดวก ซึ่ง “เจ๊เจ้าของร้าน” ก็ไม่ได้ว่าอะไร
แต่ล่าสุดวันนี้ (13 ต.ค.2568) ได้ไปขอต่อดอกเบี้ยดอกที่จำนำไว้กับพบว่า เจ้าของร้านเป็นคนใหม่ แต่ก็ไม่แน่ใจว่าเป็นอะไรกับ “เจ๊เจ้าของร้านทองเดิม” ซึ่งทางเจ้าของใหม่ได้บอกว่า “เจ๊เจ้าเก่า” เซ็งร้านให้ตนเอง แล้วเอาทองเดิมไปด้วย ซึ่งนางจันทร์เพ็ญ ได้เงินจากทองที่นำไปจำนำเป็นเงินประมาณ 41,000 บาท ขณะที่มูลค่าทองที่นำไปจำนำนั้น มีมูลค่าประมาณแสนกว่าบาท ทำให้ตนเองรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรม และไม่แน่ใจจึงวนเวียนไปร้านทองหลายครั้ง ก็ไม่พบเจ๊คนเดิม
โดยได้สอบถามเจ้าของร้านใหม่ เพื่อขอเบอร์โทรติดต่อ “เจ๊เจ้าเดิม” กับได้คำตอบไม่รู้ไม่มีเบอร์ติดต่อ จึงทำให้นางจันทร์เพ็ญ รู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม ต้องสูญเงินไปประมาณแสนกว่าบาท จากนั้นจึงเข้าร้องทุกข์พนักงานสอบสวน สภ.แม่สาย ไว้เป็นหลักฐานเพื่อขอความเป็นธรรม