
เป็นอีกประเด็นที่มีความน่าสนใจ กรณีสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้ออกมาแถลงภาวะสังคมไตรมาส 4 และภาพรวมปี 2566 และที่การเผยข้อมูลที่น่าสนใจ หนึ่งในนั้น คือหัวข้อ Influencer : เมื่อทุกคนในสังคมล้วนเป็นสื่อ
ที่ สศช.อ้างอิงจากผลสำรวจจากข้อมูลจาก Nielsen ในปี 2565 พบว่า ประเทศไทยมีจำนวนอินฟลูเอนเซอร์ มากถึง 2 ล้านคน ซึ่งเหตุผลที่ อาชีพ “อินฟลูเอนเซอร์” ได้รับความสนใจจากคนจำนวนมากในบ้านเรา เนื่องจากเป็นอาชีพที่สามารถสร้างรายได้ได้ค่อนข้างสูง
โดยรายได้ของ “อินฟลูเอนเซอร์” แบ่งตามระดับของยอดผู้ติดตาม ซึ่งทาง Influencer Marketing Hub ได้แบ่ง Categories ของ “อินฟลูเอนเซอร์” ไว้ดังนี้
1.Nano-influencer มีผู้ติดตาม 1,000 – 10,000 คน
2.Micro-influencer มีผู้ติดตาม 10,000 – 50,000 คน
3.Mid-tier influencer มีผู้ติดตาม 50,000 – 500,000 คน
4.Macro-influencer มีผู้ติดตาม 500,000 – 1,000,000 คน
5.Mega-influencer มีผู้ติดตาม 1,000,000 คนขึ้น
ซึ่งแต่ละระดับมี Rate Card หรือ ราคาสำหรับการโฆษณาในสื่อต่าง ๆ ที่ต่างกัน คือ "ยิ่งมีระดับที่สูง" หรือ "มีความโด่งดัง มีผู้ติดตามจำนวนมาก" ก็ยิ่งมี Rate Card ที่สูงขึ้นเป็นเงาตามตัว
ข้อมูลจาก Tellscore เอเจนซี่ที่มีความเชี่ยวชาญ ในเรื่องของการทำอินฟลูเอนเซอร์ค่ายหนึ่งของไทย ได้มีการเปิดเผยเรทรายได้ของ อินฟลูเอนเซอร์ ในแพลตฟอร์มโซเชียลแต่ละแพลตฟอร์ม พบว่า
TikTok Post
- Mega-Influencer / 80,000 - 300,000 บาท
- Macro-Influencer / 30,000 - 100,000 บาท
- Medium-Influencer / 10,000 - 30,000 บาท
- Micro-Influencer / 5,000 - 10,000 บาท
- Nano-Influencer & Prosumer / 3,000 - 5,000 บาท
Facebook Post
- Mega-Influencer / 100,000 - 250,000 บาท
- Macro-Influencer / 80,000 - 150,000 บาท
- Medium-Influencer / 30,000 - 80,000 บาท
- Micro-Influencer / 5,000 - 25,000 บาท
- Nano-Influencer & Prosumer / 3,500 - 5,000 บาท
Instagram Post
- Mega-Influencer / 150,000 - 300,000 บาท
- Macro-Influencer / 100,000 - 200,000 บาท
- Medium-Influencer / 50,000 - 80,000 บาท
- Micro-Influencer / 5,000 - 25,000 บาท
- Nano-Influencer & Prosumer / 3,500 - 5,000 บาท
YouTube Post
- Mega-Influencer / 300,000 - 800,000 บาท
- Macro-Influencer / 150,000 - 250,000 บาท
- Medium-Influencer / 50,000 - 100,000 บาท
- Micro-Influencer / 15,000 - 50,000 บาท
- Nano-Influencer & Prosumer / 5,000 - 10,000 บาท
X (Twitter) Post
- Mega-Influencer / 45,000 - 100,000 บาท
- Macro-Influencer / 30,000 - 45,000 บาท
- Medium-Influencer / 8,000 - 25,000 บาท
- Micro-Influencer / 5,000 - 8,000 บาท
- Nano-Influencer & Prosumer / 2,000 - 5,000 บาท
ทั้งนี้ Rate Card ของ “อินฟลูเอนเซอร์” ยังขึ้นอยู่กับปัจจัยอีกหลายอย่าง เช่น
- Scope of Work ที่ให้อินฟลูเอนเซอร์ทำ
- ความ Niche (เฉพาะทาง) ของสายอินฟลูเอนเซอร์
- Fame Factor (ความดังในช่องทางอื่นๆ ที่นอกเหนือจาก Social Media)
- ซื้อขาดคอนเทนต์หรือเปล่า
- ซื้อเป็น Bulk Rate (เหมาคอนเทนต์หลายชิ้น)
อย่างไรก็ตาม ข้อมูลจาก สศช. ระบุว่า จากการที่ประเทศไทยมี จำนวนอินฟลูเอนเซอร์ จำนวนมาก การทำคอนเทนต์ เพื่อเรียกยอดคนดู หรือยอดไลค์ จึงมีการแข่งขันที่สูงตามไปด้วย จึงทำให้เกิดปัญหา การแข่งขันผลิตคอนเทนต์ และการให้ความสำคัญกับ Engagement ด้วยการสร้างคอนเทนต์ให้เป็นกระแส โดยไม่ได้คำนึงถึงความถูกต้องเหมาะสม
หนึ่งในคอนเทนต์ ที่น่าเป็นห่วงว่าจะกระทบต่อสังคมคือ การผลิตเนื้อหาที่นำไปสู่การสร้างค่านิยมที่ผิดต่อสังคม อาทิ คอนเทนต์ “การอวดความร่ำรวย” ซึ่งจากการศึกษาของวิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล พบว่า กลุ่ม Gen Z ร้อยละ 74.8 เป็นผู้ที่ชอบแสดงตัวตนในรูปแบบนี้มากที่สุด หรือการนำเสนอภาพบุคคล ที่ได้รับการปรับแต่งให้ดูดี จนกลายเป็นมาตรฐานความงามที่ไม่แท้จริง ซึ่งอาจสร้างค่านิยมที่ผิดให้กับเด็กและเยาวชนในสังคม และอาจกระทบต่อการก่อหนี้ เพื่อนำมาซื้อสินค้าและบริการ
อย่างไรก็ตาม คอนเทนต์ลักษณะนี้นับว่า ได้รับความนิยมจากผู้ชมเป็นอย่างมาก และยิ่งช่วยเพิ่มผู้ติดตามคอนเทนต์ โดยส่วนหนึ่งอยากรู้ว่า อินฟลูเอนเซอร์เหล่านี้ ทำอย่างไรถึงได้มีเงินจำนวนมาก และในทางเดียวกัน ยิ่งมีผู้ติดตามมาก อินฟลูเอนเซอร์คนนั้น ๆ ก็จะยิ่งมีระดับที่สูงขึ้น สามารถสร้างได้มากขึ้นตามระดับความโด่งดัง ได้อย่างเป็นกอบเป็นกำเช่นกัน
รู้ไหมรายได้สูงก็เสียภาษีเยอะตาม
จากรายได้ที่สูง ทำให้ อินฟลูเอนเซอร์ จะต้องมีการเสียภาษีตามกฎหมาย โดยกรมสรรพากรได้ระบุไว้ว่า การจัดเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สำหรับกลุ่มอินฟลูเอนเซอร์ หรือ ยูทูบเบอร์ ที่มีรายได้จากค่าตอบแทนในการทำคอนเทนต์ ลงเผยแพร่ในแพลตฟอร์มออนไลน์ จะต้องนำรายได้ ที่ได้รับในปีภาษี ตั้งแต่ 1 มกราคม–31 ธันวาคม มายื่นแบบแสดงรายการเพื่อคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
- ซึ่งเงินได้ที่ได้รับนั้น จะต้องแยกว่าเป็นเงินได้ประเภทใด เช่น ถ้าทำคนเดียวไม่มีสำนักงาน ไม่มีลูกจ้าง หรือค่าใช้จ่ายใดๆ จะเป็นเงินได้ตามมาตรา 40 (2) หมายถึง เป็นเงินจากการรับทำงานให้ทั้งแบบประจำ หรือแบบชั่วคราว ในการยื่นแบบเพื่อคำนวณภาษีจะหักค่าใช้จ่ายได้ 50% ไม่เกิน 100,000 บาท
- ถ้าหากผู้นั้นมีรายได้ โดยมีรายจ่ายเป็นจำนวนมาก เช่น อาจจะมีรายจ่าย เช่น ช่างภาพ ช่างแต่งหน้าทำผม เสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย ช่างไฟ หรือ ค่าสถานที่ เป็นต้น เงินได้ประเภทนี้จะเป็นเงินได้ตามมาตรา 40(8) ในการยื่นแบบเพื่อคำนวณภาษี จะหักค่าใช้จ่ายได้ตามที่จ่ายจริง โดยนำมีหลักฐานรายจ่ายแสดงด้วย
- การยื่นแบบเพื่อเสียภาษีเงินได้นั้น หากเป็นคนโสด ถ้ามีเงินได้ประเภทอื่นๆ ที่ไม่ใช่เงินเดือน มีรายได้เกิน 60,000 บาท หรือกรณีมีคู่สมรสมีรายได้เกิน 120,000 บาทต่อปี จะต้องมีหน้าที่ยื่นแบบ โดยกำหนดเวลาจะเป็นช่วงเดือน ม.ค.-มี.ค.ในปีถัดไป
อย่างไรก็ตาม ในการคำนวณภาษีตามโครงสร้าง การคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา คือ รายได้ หักค่าใช้จ่าย หักค่าลดหย่อน หักเงินบริจาค คงเหลือเป็นเงินได้สุทธิ คูณด้วยอัตราภาษีเงินได้ ซึ่งอัตราภาษีจะคำนวณแบบขั้นบันได
ทั้งนี้จะได้รับยกเว้น ภาษีเงินได้สุทธิ จำนวน 150,000 บาทแรก และเงินได้สุทธิตั้งแต่ 150,001-300,000 บาท จะเสียภาษี 5% เงินได้สุทธิ 300,001-500,000 บาท เสียภาษี 10% เงินได้สุทธิ 500,001-750,000 บาท อัตราภาษี 15%
นอกจากนี้ผู้มีรายได้เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปีจะต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม (แวต) โดยเฉพาะผู้ที่มีอาชีพอิสระ ฟรีแลนซ์ ฟลูเอนเซอร์ หรือ ยูทูบเบอร์ ทำธุรกิจร้านอาหาร เป็นต้น
สำหรับคนที่มีรายได้ถึงเกณฑ์ มีหน้าที่ต้องยื่นแบบแสดงรายการ หากไม่ยื่นแบบแสดงรายการ ภ.ง.ด.90, 91 หรือ 94 ภายในเวลาที่กำหนดจะต้องมีบทลงโทษ ดังนี้
1. ยื่นแบบภาษีทันกำหนด แต่เสียภาษีไม่ครบ
- เสียเบี้ยปรับ 0.5 - 1 เท่า ของค่าภาษีที่ต้องจ่าย
- เสียเงินเพิ่ม 1.5% ต่อเดือนของภาษีที่ต้องจ่าย โดยเริ่มนับตั้งแต่วันที่พ้นกำหนดให้ยื่นแบบจนถึงวันที่จ่ายครบ
2. ไม่ได้ยื่นแบบภาษีภายในกำหนด
- มีโทษปรับทางอาญาสูงสุด 2,000 บาท
- เสียเบี้ยปรับ 1 - 2 เท่า ของค่าภาษีที่ต้องจ่าย
- เสียเงินเพิ่ม 1.5% ต่อเดือนของภาษีที่ต้องจ่าย โดยเริ่มนับตั้งแต่วันที่พ้นกำหนดให้ยื่นแบบจนถึงวันที่จ่ายครบ
3. เจตนาละเลยไม่ยื่นแบบภาษีภายในกำหนดเพื่อเลี่ยงภาษี
- มีโทษปรับทางอาญาสูงสุด 5,000 บาท จำคุกสูงสุด 6 เดือน
- เสียเบี้ยปรับ 2 เท่าของค่าภาษีที่ต้องจ่าย
- เสียเงินเพิ่ม 1.5% ต่อเดือนของภาษีที่ต้องจ่าย โดยเริ่มนับตั้งแต่วันที่พ้นกำหนดให้ยื่นแบบจนถึงวันที่จ่ายครบ
4. หนีภาษี
- มีโทษปรับทางอาญาตั้งแต่ 2,000 - 200,000 บาท จำคุกตั้งแต่ 3 เดือนถึง 7 ปี
- เสียเบี้ยปรับ 2 เท่าของค่าภาษีที่ต้องจ่าย
- เสียเงินเพิ่ม 1.5% ต่อเดือนของภาษีที่ต้องจ่าย โดยเริ่มนับตั้งแต่วันที่พ้นกำหนดให้ยื่นแบบจนถึงวันที่จ่ายครบ
นายวินิจ วิเศษสุวรรณภูมิ รองอธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผยกับ "เนชั่นออนไลน์" ว่า คนที่ประกอบอาชีพฟรีแลนซ์ รับจ้างทั่วไป กรณี รับรีวิวสินค้า พิธีกรถือว่าเป็นผู้มีรายได้ ถ้ารับงานสำหรับตัวเองต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา แต่ถ้ารับงานในนามบริษัทก็ต้องเสียภาษีนิติบุคคล แต่กรณีของอินฟูเอ็นเซอร์ ยูทูปเบอร์อาจเข้ากรณีการให้บริการต้องมีการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มด้วย ถ้ารายได้ตั้งแต่ 1.8 ล้านบาทต่อปีขึ้นไป ต้องชำระภาษีมูลค่าเพิ่มทุกเดือน
ทั้งนี้หากไม่ได้ดำเนินการจะต้องมีเบี้ยปรับเงินเพิ่มหรือที่เรียกว่าภาษีย้อนหลัง ดังนั้น บริษัท ห้างร้านจ่ายเงินค่าบริการจะต้องมีการหักภาษี ณ ที่จ่าย ซึ่งจะเป็นข้อมูลแสดงรายได้ แต่บางครั้งการยื่นเสียภาษีเป็น กระดาษ การประมวลผลต้องใช้เวลานาน เพราะคนใช้บริการจำนวนมาก แต่ถ้ายื่นแบบอิเล็กทรอนิกส์ จะรวดเร็วทำให้กรมฯ แจ้งได้ว่าจะต้องมีการจ่ายภาษีเพิ่มหรือไม่
"ผู้ที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ส่วนใหญ่เป็นการรับทำงานอื่นที่ไม่ใช่งานประจำและมีรายได้เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี ส่วนโทษปรับมี 2 ส่วนคือ ส่วนแรกเป็นเบี้ยปรับคิดอัตรา 1-2 เท่าของภาษี แต่จะมีการพิจารณาเป็นรายกรณี ซึ่งจะมีหลักเกณฑ์ในการปรับลดเบี้ยลงให้ได้ ส่วนที่สองคือเงินเพิ่ม คิดอัตรา 1.5% ต่อเดือนของภาษีที่ต้องจ่าย ไม่สามารถลดได้"
ทั้งนี้หากใครมีข้อสงสัย หรือไม่ชัวร์ตรงไหน ก็รีบเคลียร์หาคำตอบจากกรมสรรพากรให้สิ้นสงสัยกันไว้ก่อน เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาและภาระภาษีที่ต้องจ่ายเพิ่มอีกในภายหลัง
ขอบคุณข้อมูล : Tellscore
Influencer Marketing Hub
สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)