svasdssvasds
เนชั่นทีวี

สังคม

"หมอธีระวัฒน์" แนะใช้วัคซีนให้เหมาะสม เลี่ยงโรคที่อาจแถมมากับวัคซีนโควิด

"หมอธีระวัฒน์" แนะใช้วัคซีนให้เหมาะสมกับสถานการณ์การระบาด "โควิด" เลี่ยงเสี่ยงเป็นโรคที่อาจแถมมากับวัคซีน ซึ่งรุนแรงถึงขั้นทำให้เสียชีวิต มาดูกันว่าต้องฉีดกี่เข็มถึงจะปลอดภัย

ต้องติดตามกันอย่างใกล้ชิด สำหรับสถานการณ์ "โควิด" ที่ขณะนี้เริ่มกลับมาแพร่ระบาด มีผู้ติดเชื้อมากขึ้น แม้ขณะนี้ประชาชนในประเทศไทยแทบทั้งหมด จะได้รับวัคซีนชนิดต่าง ๆ กันอย่างครบถ้วนแล้วก็ตาม แต่ในขณะนี้กำลังมีประเด็นเรื่องความปลอดภัยของวัคซีน หลัง "โควิด" ได้มีการพัฒนาสายพันุ์ใหม่ ๆ ขึ้นมาเรื่อย ๆ

โดยในประเด็นเรื่องของวัคซีนโควิดนั้น นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ผู้อำนวยการศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว "ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา Thiravat Hemachudha" ระบุว่า ...

นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา

หัวใจอักเสบกับโควิดวัคซีน 

กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ ที่ทำให้เกิดหัวใจวาย จนกระทั่งเสียชีวิตกระทันหัน (sudden cardiac death) เป็นสิ่งที่ได้รับทราบกันมาตลอดตั้งแต่เริ่มมีการใช้วัคซีนโควิด

อุบัติการที่เกิดขึ้น จะมีขนาดตั้งแต่ 1.4 ถึง ห้าราย ต่อคนที่ฉีดวัคซีน 100,000 คน

ทั้งนี้ทั้งนั้น ขึ้นอยู่กับขั้นตอนและกระบวนการศึกษา โดยที่มีการรายงานในการติดตาม ระยะสั้นว่า อาการส่วนใหญ่ไม่รุนแรงและหายเองได้ หรือได้รับการรักษาไม่นาน

แต่หลังจากนั้นมีรายงานเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ถึงผลกระทบหรือผลข้างเคียง ของกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบที่รุนแรงจนกระทั่งเสียชีวิต

หน่วยงาน ควบคุมและป้องกันโรคของรัฐบาลประเทศเกาหลี จึงได้เล็งเห็นความสำคัญ ถึงความปลอดภัยในการใช้วัคซีนโควิด โดยมีช่องทางการรายงานทั่วประเทศ และขณะเดียวกันมีการประเมินอย่างเข้มข้นโดยมี กรรมการที่ปรึกษาที่เชี่ยวชาญ และจนกระทั่งมีการ ชัณสูตรศพ ผู้ที่เสียชีวิตกระทันหันหรือฉับพลันหลังจากได้รับวัคซีนและสามารถสรุปได้ว่า เกิดจากวัคซีนโดยตรง

"หมอธีระวัฒน์" แนะใช้วัคซีนให้เหมาะสม เลี่ยงโรคที่อาจแถมมากับวัคซีนโควิด

 

รายงานนี้ตีพิมพ์ในวารสาร European heart journal ของสมาคมโรคหัวใจของยุโรป (European society of cardiology) ในเดือนพฤษภาคมปี 2023 นี้เอง

ในประชากรทั้งหมด 44,276,704 ราย อายุมากกว่า 12 ปี ที่ได้รับโควิดวัคซีนอย่างน้อยหนึ่งเข็ม จนกระทั่งถึงวันที่ 31 ธันวาคม ปี 2021 มีรายงานจนกระทั่งถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2022 ว่าอาจเป็นไปได้ที่เกิดกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบจากวัคซีนเป็นจำนวน 1,533 ราย

ในจำนวนนี้ได้ผ่านการตรวจสอบ จากคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญและสามารถสรุปได้ชัดเจนว่า เกิดจากวัคซีน เป็นจำนวน 480 ราย

ดังนั้น อุบัติการของกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ ในประเทศเกาหลีจะอยู่ที่ 1.08 รายต่อผู้ที่ฉีดวัคซีน 100,000 ราย โดยจำนวน 480 ราย มีอาการรุนแรง 95 รายคิดเป็น 19.8% ในทั้งหมด 480 รายนี้ ที่ต้องได้รับการรักษาในห้องผู้ป่วยอาการหนักไอซียูเป็นจำนวน 85 ราย ( 17.7% ) และเป็นกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบอย่างรุนแรง (fulminant myocarditis) 36 ราย คิดเป็นจำนวน 7.5% และที่ต้องได้รับการพยุงประคองช่วยชีวิตด้วยเครื่อง ECMO หรือ extracorporeal membrane oxygenation เป็นจำนวน 21 ราย ( 4.4%) มีผู้เสียชีวิต 21 ราย ( 4.4%)

ผู้เสียชีวิตอย่างเฉียบพลันกระทันหันที่เกิดขึ้นจากวัคซีนโควิดและพิสูจน์ได้ชัดเจนจากการตรวจสอบและตรวจชิ้นเนื้อเยื่อมีจำนวน 8 ราย ( 1.7%) มีผู้ป่วยที่ต้องได้รับการเปลี่ยนหัวใจเป็นจำนวน 1 ราย (0.2%)

ระยะเวลาหลังจากที่ได้รับวัคซีน จนกระทั่งเกิดอาการกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบอยู่ที่ 42 วัน ตามกฎเกณฑ์ที่ตั้งไว้ ทั้งนี้เพื่อให้การวินิจฉัยตรงไปตรงมา และมีความคาดเคลื่อนน้อยที่สุด โดยอิงตาม Brighton Collaboration (BC. Myocarditis/pericarditis case definition. The task force for global health, 16 July 2021.) และเสริมเติม กฎเกณฑ์มากขึ้นเพื่อไม่ให้ข้อมูลผิดพลาด

ทั้งนี้ ยังได้ตัดรายที่มีการติดเชื้อโควิด และที่การตรวจเลือดไม่พบหลักฐานของกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ และนอกจากนั้น ยังได้ทำการตรวจวิเคราะห์หาสาเหตุอื่น ของกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ ซึ่งรวมถึงการติดเชื้อไวรัส และภาวะภูมิคุ้มกันแปรปรวน ที่ทำให้เกิดกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบได้

หน่วยงานควบคุมและป้องกันโรคของรัฐบาลประเทศเกาหลี ได้สรุปข้อมูลที่ได้ดังต่อไปนี้ก็คือ 

ประการที่หนึ่ง
การเกิดกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ จากวัคซีนโควิดไม่ได้พบบ่อย กล่าวคือ 1.08 รายต่อคนที่ฉีดวัคซีน 100,000 คน และส่วนมากแล้วเกิดกับวัคซีนเอ็มอาร์เอ็นเอ โดยเฉพาะในผู้ชายอายุน้อย ที่มีอายุระหว่าง 12 ถึง 17 ปีตามด้วยผู้ชายที่อายุระหว่าง 18 ถึง 29 ปีและพบได้น้อยสุดในผู้หญิงที่อายุมากกว่า 70 ปี

ประการที่สอง เมื่อทำการวิเคราะห์อุบัติการที่เกิดขึ้นจะพบว่า เกิดหลังวัคซีนเข็มแรก 0.47 รายต่อ 100,000 คน
เกิดหลังวัคซีนเข็มที่สอง 0.55 รายต่อ 100,000 คน
เกิดหลังวัคซีนเข็มที่สาม 0.4 รายต่อ 100,000 คน

ทำให้สามารถสรุปได้ว่า อุบัติการของกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบนั้น จะไม่แตกต่างกันมากหลังฉีดเข็มที่หนึ่งและเข็มที่สอง แต่เมื่อฉีดไปสามเข็ม อุบัติการจะลดลงกว่าที่ฉีดเข็มที่หนึ่งและเข็มที่สอง

ประการที่สาม กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบหลังเข็มที่หนึ่ง จะพบไม่แตกต่างกันระหว่างผู้หญิงและผู้ชาย แต่หลังเข็มที่สองจะพบในผู้ชายมากกว่า

ประการที่สี่ ในประเทศเกาหลีนั้น มีสูตรการฉีดไขว้สองแบบเท่านั้น กล่าวคือเข็มแรกแอสตร้า ต่อด้วยไฟเซอร์ หรือไม่ก็ โมเดน่าต่อด้วยไฟเซอร์ ทั้งนี้ไม่พบรายงานกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบด้วยโมเดน่าต่อด้วยไฟเซอร์

อย่างไรก็ตาม มีแปดรายจาก 1,789,915 คนที่ได้รับแอสตร้าและต่อด้วยไฟเซอร์ คิดเป็น 0.45 รายต่อ 100,000 คนที่ได้รับวัคซีน

ประการที่ห้า ถึงแม้ว่าโดยรวมการเกิดหัวใจอักเสบจะดูน้อยมาก แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้วจะพบว่ามีความรุนแรงหรือเสียชีวิตได้สูงถึง 19.8%

ทั้งนี้โดยรวมถึงการที่เสียชีวิตเฉียบพลัน หัวใจหยุดเต้น ซึ่งต้องมีการเฝ้าติดตามระมัดระวัง และมีการเตือน ถึงการเสียชีวิตเฉียบพลันว่า เกิดขึ้นได้จากวัคซีนโควิด โดยเฉพาะในคนที่อายุน้อยกว่า 45 ปีที่ได้รับวัคซีนเอ็มอาร์เอ็นเอ

หน่วยงานของประเทศเกาหลีได้ชี้ให้เห็นถึงความแตกต่าง ของรายงานที่ผ่านมา ในนานาประเทศว่า อาจจะเกิดขึ้นจากชนิดของวัคซีนที่ต่างกันแม้กระทั่งเชื้อชาติหรือไม่

แต่จุดแข็งของรายงานจากรัฐบาลเกาหลีนี้ ไม่เหมือนเช่นประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นการรายงาน แบบย้อนหลัง ทั้งนี้โดยที่รัฐบาลเกาหลีนั้น ได้สร้างระบบการรายงานผลข้างเคียง ของการใช้วัคซีนโควิดตั้งแต่เริ่มก่อนที่จะมีการฉีดวัคซีน และสร้างระบบในการชดเชยความเสียหายที่เกิดขึ้นทั้งหมด โดยถือว่าผลข้างเคียงของกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ เป็นเรื่องที่รุนแรงมาก และการรายงานต้องฉับพลันเที่ยงตรง และลดการรายงานที่ผิดพลาดน้อยหรือมากเกินจริง

นอกจากนั้นรัฐบาลของเกาหลีนั้น ยังได้ให้ความสำคัญ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถและความแม่นยำ ในการวินิจฉัย โดยมีการตรวจชิ้นเนื้อที่ได้จากการตัดชิ้นเล็ก ๆ ของกล้ามเนื้อหัวใจ จากผู้ป่วยที่มีอาการ เข้าได้กับกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ เพื่อเป็นการยืนยันการวินิจฉัย และตัดสาเหตุอื่นออก และควบรวมกับการตรวจเอคโค่ (echocardiogram) จนกระทั่งถึงการตรวจเอ็มอาร์ไอ และการตรวจเลือด cardiac Troponin ที่ต้องมีหลักฐานประกอบด้วย โดยเฉพาะ ในกรณีที่บางรายไม่มีการตรวจเอ็มอาร์ไอ หรือขาดข้อมูลทางเอคโค่แต่ทุกรายนั้นต้องมีอาการที่เข้าได้และตัดสาเหตุอย่างอื่นออกทั้งหมด

รายงานนี้ รัฐบาลเกาหลีหน่วยงานป้องกันและควบคุมโรค ได้กล่าวย้ำให้มีการติดตามอย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันผลกระทบจากวัคซีนโควิด ที่เดิมอาจจะดูเหมือนไม่รุนแรงมาก แต่เมื่อมีการติดตามอย่างละเอียด จะมีผลกระทบถึงเสียชีวิตได้ โดยเฉพาะคนที่อายุน้อยกว่า 45 ปี และได้รับวัคซีนเอ็มอาร์เอ็นเอ

สำหรับผู้ที่ได้รับผลกระทบจากวัคซีนในประเทศไทย ที่คณะทำงานของเรา ศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่และสาขาประสาทวิทยาคณะแพทยศาสตร์จุฬา ได้มีการติดตาม พบว่ามีทั้งที่ต้องเปลี่ยนหัวใจ หลังได้รับวัคซีนชิโนฟาร์ม และมีสมองอักเสบ มีกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบอย่างรุนแรง หลังจากได้รับวัคซีนไฟเซอร์ รวมทั้งมีกล้ามเนื้อแขนขาอักเสบเป็นอัมพาต นอกจากนั้น มีผู้ได้รับผลกระทบจากวัคซีนชนิดต่าง ๆ ทางสมองทางเส้นประสาทและมีเส้นเลือดดำอุดตัน

โดยที่ทุกคนยอมรับว่า วัคซีนมีประโยชน์ แต่การ ติดตามความปลอดภัยถือเป็นเรื่องสำคัญสูงสุดเช่นกัน  เพราะวัคซีนเป็นการให้เพื่อป้องกันโรคและช่วยชีวิต และการฉีดวัคซีนต้องคำนึงถึงสถานการณ์ความรุนแรงของโควิด ณ เวลานั้น ๆ ด้วย

 

"หมอยง" ชี้วัคซีนโควิด 19 ทุกอย่างมีทั้งผลดี - ผลเสีย

ขณะที่ ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  โพสต์ข้อความผผ่านเฟซบุ๊ก Yong Poovorawan ระบุว่า... 

โควิด 19 วัคซีนโควิด 19 ที่มีการกล่าวถึงกันมาก

วัคซีนทุกชนิดมีจุดมุ่งหมายในการป้องกันโรค ไม่ว่าจะเป็นป้องกันการติดเชื้อ ความรุนแรงของโรค รวมทั้งการเสียชีวิต

วัคซีนทุกชนิด ไม่ว่าวัคซีนที่ใช้ในเด็ก จะมีทั้งประโยชน์อย่างมากและ ข้อเสียคืออาการข้างเคียง เกิดขึ้นได้ แต่โดยทั่วไปแล้วอาการข้างเคียงจะพบน้อยมาก ๆ เช่นวัคซีนโปลิโออย่างกิน สามารถป้องกันโปลิโอได้ แต่ก็สามารถทำให้เกิดโรคโปลิโอได้เช่นกัน แต่โอกาสที่จะเกิดโรคโปลิโอจากวัคซีน อาจจะเป็นหนึ่งในล้าน หรือหลายล้านโดส

ในทำนองเดียวกันวัคซีนโควิด 19 ที่ต้องนำมาใช้อย่างเร่งด่วน เพราะในปีแรกโควิด 19 มีอัตราการเสียชีวิต 3-5% ซึ่งสูงมากและลดลงในปีต่อต่อมาเหลือ 1% และจนในปัจจุบันน่าจะน้อยกว่า 0.1% ตามวิวัฒนาการของไวรัส และภูมิต้านทานของร่างกายที่เกิดขึ้น จากวัคซีนและการติดเชื้อ ทำให้โรคลดความรุนแรงลง

วัคซีนโควิด 19 เป็นที่ยอมรับกันว่ามีอาการข้างเคียง เช่น เป็นไข้ ปวดเมื่อยเนื้อเมื่อยตัว เจ็บบริเวณที่ฉีด แต่มีน้อยมาก มาก ที่จะทำให้เกิดความรุนแรง ถึงเสียชีวิต วัคซีนได้มีการนำมาใช้หลาย ๆ พันล้านโดส แม้ในประเทศไทย ก็มีการใช้มากกว่าร้อยล้านโดส ดังนั้นอาการข้างเคียงชนิดที่เกิดได้ 1 ในแสนหรือ 1 ในล้านก็จะพบได้ เช่นเดียวกับกัน

การใช้วัคซีนโควิด 19 ก็เช่นเดียวกัน เราคำนึงถึงผลได้และผลเสีย ถ้าโรครุนแรง โอกาสลงปอดสูงมากและมีอัตราตายสูงมากกว่า 1% วัคซีนมีอาการข้างเคียงบ้างแต่น้อยกว่าความรุนแรงของการเกิดโรคอย่างมาก

เมื่อโควิดผ่านมาจนถึงปัจจุบัน มีข้อมูลออกมาชัดเจนแล้วว่า ผู้ที่ได้รับวัคซีนโควิด 19 มีอัตราการเสียชีวิตเมื่อติดเชื้อน้อยกว่าผู้ที่ไม่ได้รับวัคซีน

แต่เมื่อโรคโควิด 19 ลดความรุนแรงลงอย่างมาก เหลือเฉพาะความรุนแรงอยู่ในกลุ่มเปราะบาง ความต้องการของวัคซีน ก็คงจะต้องเน้นไปยังกลุ่มเปราะบาง มากกว่าให้กับบุคคลทั่วไปที่มีร่างกายแข็งแรง และการให้วัคซีนก็ไม่ได้เป็นภาคบังคับ เป็นการให้ด้วยความสมัครใจ แต่หน้าที่ของเราคือจะให้ความรู้ทั้งหมดเพื่อไปประกอบการตัดสินใจ

ทุกอย่างมีทั้งผลดีและผลเสีย แต่ถ้าผลดีมีเป็นจำนวนมากกว่าผลเสียอย่างมาก ๆ เราก็คงจะต้องยอม