16 ธันวาคม 2566 จากกรณีมีการแชร์และส่งต่อข้อความ การให้สัมภาษณ์ของ "น้องไนซ์ เชื่อมจิต" ระบุถึงการเผยแผ่ศาสนาของ "พระพุทธเจ้า" ในอดีตที่ไม่มีเครื่อง ไม่มีไมโครโฟน การที่มีคนจำนวนมากๆนับร้อยนับพันมารวมตัวกัน ไม่ใช่การพูดตามปรกติ แต่เป็นการสื่อสารแบบ "เชื่อมจิต" ซึ่งก่อให้เกิดการถกเถียงในวงกว้าง
ล่าสุด "แพรรี่ ไพรวัลย์" หรือ นายไพรวัลย์ วรรณบุตร" อดีตพระนักเทศน์ ฉายา "พระมหาไพรวัลย์ วรวณฺโณ" อดีตพระลูกวัดประจำ วัดสร้อยทอง พระอารามหลวง การศึกษาจบ "เปรียญธรรม 9 ประโยค" ซึ่งเป็นระดับชั้นสูงสุดของการศึกษาแผนกบาลีของคณะสงฆ์ไทย
จบการศึกษาทางโลกในระดับปริญญาโทพุทธศาสตร์ ของ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย และ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง
"แพรรี่ ไพรวัลย์" ได้ออกมาเคลื่อนไหวผ่านเพจเฟซบุ๊ก "ไพรวัลย์ วรรณบุตร" โต้แย้งข้อมูลดังกล่าว ระบุว่า..
พระพุทธเจ้าสอนคนเป็น 100 เป็น 1,000 ได้ยังไง!
ประเด็นเรื่องที่ว่าพระพุทธเจ้าสอนธรรมอย่างไร ในกรณีที่คนฟังมีอยู่เป็นร้อยเป็นพัน ท่านได้เชื่อมจิตไปสอนในสมาธิแบบที่มีคนกล่าวอ้างหรือไม่ ดิฉันจะขอตอบให้แบบสั้นๆ นะคะ
เรื่องนี้ ถ้าคนที่เคยศึกษาคัมภีร์ทางศาสนามาบ้าง จะเข้าใจได้ไม่ยากเลยค่ะ
มีหลายที่ในพระสูตรที่พระพุทธเจ้าตรัสชมภิกษุบริษัทของท่านว่ามีกิริยาอาการงดงาม มีความเคารพเป็นอย่างดีทั้งในตัวท่านและในพระธรรมที่ท่านเทศนาสั่งสอน
ในสมัยพุทธกาล เวลาที่ภิกษุบริษัทท่านอยู่ในธรรมสภานะคะและท่านเห็นพระพุทธเจ้าเสด็จมา ทุกรูปจะต้องพร้อมใจกันเงียบเสียงค่ะ นี่ในพระสูตรและอรรถกถากล่าวตรงกันเลย เป็นเรื่องของพุทธคาระวะตา และธรรมคารวะตา (คือการแสดงความเคารพต่อพระพุทธเจ้าและพระธรรม)
ในพระสูตรกล่าวถึงขนาดว่า แม้แต่เสียงจามและเสียงไอยังไม่มีเลยนะคะ ดังนั้นไม่ต้องพูดถึงว่า พวกภิกษุบริษัทเหล่านั้นจะพากันสนทนาหรือพูดคุยเรื่องอื่นใดๆ ต่อหน้าพระพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้าท่านตรัสเปรียบด้วยว่า ถ้าท่านเงียบอยู่อย่างนั้นตลอดกัป ภิกษุบริษัทก็จะพากันเงียบอยู่อย่างนั้น จะไม่มีภิกษุรูปใดรูปหนึ่งกล้ายกเรื่องอื่นขึ้นพูดก่อนที่พระองค์จะแสดงธรรม นี่เป็นเรื่องของมารยาทและอาจาระของภิกษุในสมัยพุทธกาลนะคะ
เรื่องนี้ พระเจ้าอาชาตศัตรูก็เคยพูดถึงไว้อย่างอัศจรรย์พระทัยเมื่อคราวที่หมอชีวกโกมารภัจจ์พาพระองค์ไปเฝ้าพระพุทธเจ้าครั้งแรกที่อัมพวัน คือที่อัมพวันเนี่ย พระพุทธเจ้าประทับอยู่กับภิกษุ 1,250 รูป แต่พอพระเจ้าอชาตศัตรูไปถึงกลับเหมือนวัดร้าง คือมันไม่มีเสียงเจี๊ยวจ๊าวหรือเสียงพูดคุยกันของภิกษุในอัมพวันนั้นเลย
ความเงียบที่ว่านี้ ถึงกับทำให้พระองค์สงสัยว่า ตัวเองกำลังถูกลวงมาลอบปลงพระชนม์นะคะ
อันนี้ก็เป็นเรื่องของอาจาระและวัตรปฏิบัติในการอยู่อย่างสมณะในสมัยพุทธกาลค่ะ ไม่ใช่เรื่องของความวิเศษอะไรเลย ถ้าใครศึกษาคัมภีร์ทางศาสนามาบ้างจะทราบดีว่า พระพุทธเจ้าตำหนิการอยู่แบบคลุกคลีตีมง (การเผยแผ่ศาสนาในยุคแรกจึงห้ามการไปทางเดียวกัน 2 รูปไงคะ)
นอกจากพระเจ้าอชาตศัตรู ก็ยังมีพระเจ้าปเสนทิโกศลอีกพระองค์หนึ่งนะคะ ที่อัศจรรย์พระทัยกับอากัปกิริยาของภิกษุบริษัทของพระพุทธเจ้า อย่างที่เคยตรัสถึงเหตุที่ทำให้พระองค์มีความเคารพศรัทธาอย่างมากเหลือเกินในพระพุทธเจ้าและพระธรรมว่า
สมัยใด ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงธรรมแก่บริษัททั้งหลายอยู่ ในบริษัทนั้นสาวกทั้งหลายของพระผู้มีพระภาคเจ้าจะไม่มีเสียงจามหรือเสียงไอเลย
เป็นเรื่องน่าอัศจรรย์มาก ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงฝึกพระสาวกได้ดีแล้วอย่างนี้ โดยไม่ต้องใช้อาชญา โดยไม่ต้องใช้ศาสตรา ข้าพระพุทธเจ้าไม่ทรงเคยได้เห็นบริษัทอื่นที่ฝึกได้ดีอย่างนี้ นอกจากบริษัทในพระธรรมวินัยนี้
คือแม้แต่พระองค์เองซึ่งเป็นกษัตริย์ มีอำนาจมากก็ยังไม่อาจฝึกข้าราชบริพารไม่ให้พูดสอดขึ้นในระหว่างที่พระองค์กำลังตรัสอยู่ได้เช่นพระพุทธเจ้าเลย
ดังนั้น การสอนธรรมกับคนจำนวนมากของพระพุทธเจ้า จึงเป็นเรื่องของการสื่อสารจำเพาะ ระหว่างพระองค์กับกลุ่มสาวกบริษัทที่ได้รับการฝึกหัดด้วยพระธรรมวินัยอย่างดีแล้วค่ะ ไม่ใช่เรื่องของการเชื่อมจิต หรือใช้เทคนิคทางอิทธิฤทธิ์ปาฎิหาริย์แต่อย่างใด
แต่ถึงอย่างนั้นนะคะ การบอกว่าในธรรมสภามีภิกษุจำนวนมาก ก็ได้หมายความภิกษุจำนวนเท่านั้นทั้งหมด ต้องเป็นผู้ได้ยินได้ฟังธรรมเท่ากันนะคะ
ที่สำคัญในกรณีที่ทรงสอนธรรมกับคนทั่วไปเป็นจำนวนมากๆ มันก็มีทั้งที่ตั้งใจฟังและไม่ตั้งใจฟังเป็นเรื่องปกติค่ะ มีทั้งที่ฟังแล้วเข้าใจและบรรลุธรรมก็มี มีทั้งที่ฟังแล้วไม่เข้าใจและไม่บรรลุอะไรเลยก็มี ไม่ใช่ว่าสอนได้ทั้งหมด บรรลุธรรมทั้งหมด ไม่ใช่ค่ะ
ต้องเข้าใจให้ชัดแบบนี้ก่อนนะคะ เรื่องการสอนธรรมของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่พูดส่งเดชไปเรื่อย แล้วก็ที่ยังขายอยู่ นั่นก็คือปลาอินทรีแดดเดียว ปลาหวานเนื้อปลาอินทรี น้ำพริกหรือทุเรียนทอด ฟังธรรมแล้วก็มาสั่งกันบ้าง จบ
ก่อนหน้ากันนี้ "แพรรี่ ไพรวัลย์" ได้โพสต์ มีรายละเอียดดังนี้
วิธีสอนธรรมแบบพระพุทธเจ้าที่แท้จริงค่ะ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็การตั้งอยู่ในอรหัตตผล ย่อมมีได้ด้วยการศึกษาโดยลำดับ ด้วยการทำโดยลำดับ ด้วยความปฏิบัติโดยลำดับอย่างไร?
ดูกรภิกษุทั้งหลาย กุลบุตรในธรรมวินัยนี้
เกิดศรัทธาแล้วย่อมเข้าไปใกล้
เมื่อเข้าไปใกล้ย่อมนั่งใกล้
#เมื่อนั่งใกล้ย่อมเงี่ยโสตลง
#เมื่อเงี่ยโสตลงแล้วย่อมฟังธรรม
ครั้นฟังธรรมย่อมทรงธรรมไว้
ย่อมพิจารณาเนื้อความแห่งธรรมที่ทรงไว้แล้ว
เมื่อพิจารณาเนื้อความอยู่
ธรรมทั้งหลายย่อมทนได้ซึ่งความพินิจ
เมื่อธรรมทนความพินิจได้อยู่ ฉันทะย่อมเกิด
เมื่อเกิดฉันทะแล้ว ย่อมอุตสาหะ
ครั้นอุตสาหะแล้ว ย่อมไตร่ตรอง
ครั้นไตร่ตรองแล้ว ย่อมตั้งความเพียร
เมื่อมีตนส่งไปแล้วย่อมทำให้แจ้งชัดซึ่งบรมสัจจะด้วยกาย และย่อมแทงตลอดเห็นแจ้งบรมสัจจะนั้นด้วยปัญญา.
ม.ม. ๑๓/๒๘๓/๑๘๑-๑๘๒