svasdssvasds
เนชั่นทีวี

สังคม

"พริษฐ์"ถามรัฐถึงเวลาหรือยังปฏิรูปการศึกษาไทยเมื่อผลสอบ PISA บอกมาแบบนี้

06 ธันวาคม 2566
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

"พริษฐ์ วัชรสินธุ" มองผลสอบ PISA สะท้อนคุณภาพการศึกษาไทยถดถอยมากแค่ไหน พร้อมเสนอ 9 แนวทาง ฟื้นฟูความรู้ให้เด็ก ย้ำประการสำคัญต้องให้ครูมาทำหน้าสอน พร้อมตัดภาระงานส่วนเกิน

6 ธันวาคม 2566 กลายเป็นเรื่องให้รัฐบาลต้องกลับมาทบทวน นอกเหนือจากมาตรการรวมถึงนโยบายต่างๆ เพื่อนำมาใช้กระตุ้นเศรษฐกิจและยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน นั่นก็คือเรื่องการศึกษา หลังมีการรายงานผลสอบโปรแกรมประเมินสมรรถนะนักเรียนมาตรฐานสากล (Programme for International Student Assessment หรือ PISA) ประจำปี 2022 เพื่อประเมินคุณภาพระบบการศึกษาของประเทศต่างๆ ในการเตรียมความพร้อมให้เยาวชนมีศักยภาพหรือความสามารถพื้นฐานที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตในโลกที่มีการเปลี่ยนแปลง

อย่างไรก็ตาม การสอบดังกล่าวถูกจัดขึ้นทุก 3 ปี เพื่อวัดผลเยาวชนอายุ 15 ปี ซึ่งปีนี้มีประเทศเข้าร่วมถึง 81 ชาติ ทว่า ผลที่ออกมาพบว่าเด็กไทยในทุกทักษะ ตั้งแต่คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และการอ่าน มีคะแนนต่ำสุดในรอบ 20 ปี 

โดย นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคก้าวไกล ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วน โดยระบุถึงเรื่องนี้ ว่า ผลคะแนนของนักเรียนไทยลดลงมาอยู่ในจุดที่ต่ำสุดในรอบ 20 ปี ในทักษะทั้ง 3 ด้านที่มีการประเมิน โดยมีอันดับอยู่ในครึ่งล่างของตารางทั้งในระดับโลกและระดับภูมิภาคอาเซียน ประกอบด้วย

  1. คณิตศาสตร์ คะแนนลดลง 6% (อันดับ 58 จาก 81 ประเทศ-พื้นที่ที่เข้าร่วม)
  2. การอ่าน คะแนนลดลง 4% (อันดับ 64 จาก 81 ประเทศ-พื้นที่ที่เข้าร่วม)
  3. วิทยาศาสตร์ คะแนนลดลง 4% (อันดับ 58 จาก 81 ประเทศ-พื้นที่ที่เข้าร่วม)

อย่างไรก็ตาม ผลลัพธ์นี้เป็นสิ่งที่หลายคนคาดการณ์ได้ เนื่องจากคุณภาพของระบบการศึกษาไทย มีแนวโน้มถดถอยมาอย่างต่อเนื่องตลอด 10-20 ปีที่ผ่านมา และตนหวังว่าผลลัพธ์นี้ จะเป็นสัญญาณเตือนสำหรับให้ทุกภาคส่วนให้เห็นว่าการศึกษาไทยกำลังอยู่ในขั้นวิกฤต
 

ทั้งนี้ การที่เด็กไทยเรียนหนักเป็นอันดับต้นๆ ของโลก แต่กลับมีทักษะที่ตามหลังหลายประเทศ สะท้อนให้เห็นว่าการศึกษาไทยที่มีปัญหา ไม่ใช่เพราะเด็กไทยไม่ขยัน แต่เป็นเพราะระบบการศึกษา ไม่สามารถแปรชั่วโมงเรียนและความขยันของนักเรียน ให้ออกมาเป็นทักษะได้เท่ากับระบบการศึกษาของประเทศอื่น

นายพริษฐ์ กล่าวต่อว่า แม้การยกระดับคุณภาพการศึกษาไทย ยังจำเป็นต้องอาศัยหลายมาตรการ แต่สิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้ คือ การจัดทำหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานฉบับใหม่ มาแทนหลักสูตรปัจจุบันที่ไม่ได้มีการเขียนใหม่ หรือปรับปรุงขนานใหญ่มาหลายปี

"หากวันนี้ก้าวไกลมีโอกาสได้เป็นรัฐบาล จะมีการชวนทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เช่น ภาควิชาการ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม ครู นักเรียน ผู้ปกครอง มาร่วมออกแบบหลักสูตรให้เสร็จภายใน 1 ปี เนื่องจากหลายภาคส่วน มีการพัฒนาข้อเสนอเรื่องหลักสูตรใหม่มาสักพักแล้ว เพื่อเริ่มทยอยนำมาใช้ในแต่ละระดับชั้นให้ครบทั้งหมดภายในวาระของรัฐบาล" นายพริษฐ์ ระบุ

สำหรับมุมมองของตน เป้าหมายหลักของหลักสูตรใหม่ ควรเป็นการเน้นพัฒนาทักษะ-สมรรถนะ ที่นำไปใช้ได้จริงในอาชีพการงานและในชีวิต โดยขอเสนอกรอบเบื้องต้น ดังนี้

1) ปรับวิชาหรือเป้าหมายของวิชาให้สอดคล้องกับเป้าหมายหลักเรื่องทักษะ-สมรรถนะ , ทบทวนวิชาที่ควรมีหรือไม่มี , ปรับเป้าหมายของแต่ละวิชาให้เน้นทักษะที่สำคัญ มากกว่าการอัดฉีดเนื้อหา หรือข้อมูลให้กับผู้เรียน เช่น ภาษาอังกฤษที่เน้นการสื่อสาร หรือวิชาประวัติศาสตร์ที่เน้นการวิเคราะห์-ถกเถียง-แลกเปลี่ยน

2) ปรับวิธีการสอนและเสริมทักษะให้ครูสามารถพลิกบทบาทจาก "ครูหน้าห้อง" ที่เน้นถ่ายทอดความรู้ ผ่านการบรรยายทางเดียว มาเป็น "ครูหลังห้อง" ที่เน้นสร้างบรรยากาศและจัดสรรเวลาให้นักเรียนได้แลกเปลี่ยนมากขึ้น

3) ลดจำนวนชั่วโมงเรียนและคาบเรียน จาก 1,200 ชั่วโมงต่อปี เหลือประมาณ 800-1,000 ชั่วโมงต่อปี ตามมาตรฐานสากล ลดเนื้อหาหรือกิจกรรมในส่วนที่ไม่จำเป็นลง เพื่อเน้นที่คุณภาพของชั่วโมงเรียน และให้นักเรียนเหลือเวลาเพียงพอสำหรับการเรียนรู้นอกห้องเรียนและการพักผ่อน

4) ลดภาระการบ้านและการสอบแข่งขันที่หนักเกินไป ปรับไปใช้วิธีประเมินผลรูปแบบอื่น เช่น การบูรณาการการบ้านหลายวิชา การทำกิจกรรมในเวลาเรียน การทำโครงการกลุ่ม ฯลฯ เพื่อลดภาระและความเครียดที่ส่งผลต่อสุขภาพจิตของเยาวชนไทย

5) เพิ่มเสรีภาพในการเรียนรู้ ลดวิชาบังคับ เพิ่มวิชาทางเลือก ให้นักเรียนมีอิสระ และมีส่วนร่วมในการออกแบบเส้นทางการเรียนรู้ของตนเอง โอบรับความหลากหลายของผู้เรียน ที่มีความถนัดและความชอบที่แตกต่างกัน

6) เพิ่มการตรวจสอบโดยประชาชน เพิ่มกลไกในการทำให้หนังสือเรียนและข้อสอบ ปรับตามและสอดรับกับหลักสูตรใหม่ ผ่านการสร้างแพลตฟอร์มให้ประชาชนตรวจสอบเนื้อหาหนังสือเรียน และการเปิดข้อสอบ TCAS ย้อนหลังทั้งหมดพร้อมเฉลย

7) กระจายอำนาจด้านการออกแบบหลักสูตร โดยวางระบบให้มีหลักสูตร 3 ระดับ ประกอบด้วย แกนกลาง จังหวัด และสถานศึกษา ควบคู่กับการลดกลไกควบคุมจากส่วนกลาง เพื่อให้โรงเรียนมีอำนาจมากขึ้น ในการออกแบบหลักสูตรที่สอดคล้องกับความต้องการ และความจำเป็นของผู้เรียนในแต่ละโรงเรียน

8) วางกลไกสำหรับการพัฒนาหลักสูตรอย่างต่อเนื่อง ให้มีการทบทวนหลักสูตรแกนกลางทุก 4 ปี เพื่อให้เท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก และทักษะที่จำเป็นในแต่ละยุคสมัย

9) ส่งเสริมการเรียนรู้นอกห้องเรียนและการเรียนรู้ตลอดชีวิต ออกแบบสภาพแวดล้อม และการเรียนการสอนในห้องเรียนที่เอื้อต่อการพร้อมตั้งคำถามและเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ

ขณะเดียวกัน อยากเสนอส่านอกเหนือจากการจัดทำหลักสูตรใหม่ อีกมาตรการที่สำคัญ คือ การลดภาระงานครูที่ไม่เกี่ยวกับการเรียนการสอน หรือการพัฒนาผู้เรียน เพราะปัจจุบันประมาณ 40% ของเวลาทำงานครู ถูกใช้ไปกับงานที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเรียนการสอนและการพัฒนาผู้เรียน จึงเสนอว่าต้องมีการเร่งทบทวนลดภาระงานครูทั้งในด้านงานเอกสาร งานธุรการ การเขียนรายงาน การนอนเวร ฯลฯ เพื่อลดภาระงานครูและคืนครูให้นักเรียน ตัดงานที่ไม่จำเป็นออก นำเทคโนโลยีมาช่วยงานในบางส่วน และการจัดหาบุคลากรด้านอื่นมาช่วยแบ่งเบาภาระ

"ผมเข้าใจว่ารัฐบาลอาจมีเป้าหมายอื่นที่ตั้งไว้ แต่รัฐต้องระมัดระวังในการใช้วิธีโยนนโยบายไปให้ครูปฏิบัติ โดยไม่ประเมินภาระงาน และความคุ้มค่าของงานอย่างรอบคอบ เพราะทุกครั้งที่เป็นเช่นนั้น ครูมักต้องดึงตัวเองออกมาจากห้องเรียน เพื่อไปทำเอกสารรายงานการดำเนินงานตามนโยบายต่างๆ แก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งไม่เพียงแต่จะทำให้ผลลัพธ์ของนโยบายดังกล่าวไม่เกิดขึ้นจริงตามที่รัฐคาดหวัง แต่ยังไม่สร้างผลดีทั้งต่อตัวครู ตัวผู้เรียน และคุณภาพการศึกษาในภาพรวมด้วย" นายพริษฐ์ กล่าว

 

logoline