สืบเนื่องจาก กรณีที่เพจดัง "สู้ดิวะ" ที่แอดมินเพจจะคอยรายงานข่าวสารตางๆ ของ "คุณหมอไทคนเดิม" หรือ นพ.กฤตไท ธนสมบัติกุล ที่ป่วยเป็นมะเร็งปอดระยะสุดท้าย ได้ถ่ายทอดเรื่องราว ประสบการณ์ต่างๆ ที่น่าสนใจ และเป็นการให้ความรู้แก่ผู้อ่าน ผ่านเพจดังอย่าง “สู้ดิวะ”
เพจดังสู้ดิวะ เล่าถึงเรื่องราวของหมอหนุ่มที่โชคร้ายป่วยเป็นโรคมะเร็ง และพร้อมถ่ายทอดประสบการณ์ให้ผู้อ่านได้เข้าใจและตระหนักถึงภัยร้ายที่อาจจะเกิดขึ้นกับคุณและคนในครอบ พร้อมเป็นอีกหนึ่งแรงบันดาลใจให้กับประชาชนทั่วไป
ล่าสุด ทางเพจปล่อยโพสต์สุดเศร้า หมอกฤตไทเอ่ยลาแฟนคลับ ใจความระบุว่า "อยู่ได้อีกไม่นาน" ทำให้บรรดาแฟนคลับ และชาวเน็ตร่วมให้กำลังใจคุณหมอและครอบครัวเป็นจำนวนมาก
อัปเดตข่าวคุณหมอกฤตไท
ล่าสุด หมอกฤตไท ได้อัปเดตผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า
“ผมคงอยู่ได้อีกไม่นานแล้วครับ ใครมีอะไรอยากพูดอยากบอกผม เชิญได้เลยครับ ผมน่าจะไปช่วงกลางเดือนหน้า จากนั้นไว้เจอกันใหม่ชาติหน้านะครับ ณ ตอนนี้ผมพิมพ์ได้เท่านี้ก็เอาละครับ ขอบคุณสำหรับทุกอย่างตลอดช่วง 30 ที่ผ่านมาครับ ขอโทษถ้าผมทำให้ใครไม่พอใจ”
“ผมคงไม่ได้ไปดู NBA ผมคงไม่ทันได้เข้าไปอยู่ในบ้าน อรสิริน Belive คงไม่ทันได้เจอพี่เพียวอีก จากนี้ฝากบ้าน ฝากพีม ฝากครอบครัวด้วยนะครับ ขอบคุณจากใจให้กับทุกคนที่ช่วยดูแลด้วยครับ”
โดยคุณหมอไท นพ.กฤตไท ได้เปลี่ยนภาพโปรไฟล์เป็นภาพงานแต่งงาน ระหว่างคุณหมอและแฟนสาวที่จัดขึ้นเมื่อปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมา พร้อมแชร์โพสต์จุดเริ่มต้นในการแชร์เรื่องราวหลังป่วยเป็นโรคร้ายลงเพจ เมื่อ 10 พฤศจิกายน 2565 พร้อมระบุว่า “จบเร็วกว่าที่คิดเนาะ”
ล่าสุด!! ในเพจสู้ดิวะ ได้มีการเผยแพร่คลิปวิดีโองานแต่งงานของคุณหมอกฤตไทและ "คุณพีม" ภรรยาสาวสวย ใจความตอนหนึ่ง ทางคุณพีม ภรรยาสาวสวย ได้เปิดใจไว้ว่า
“พีมโชคดีมากๆ จริงๆ คือพี่ไทจะพูดตลอดเลยว่า เธอโชคร้ายหรือเปล่า เธอโชคร้ายหรือเปล่า พีมก็จะตอบพี่ไทเหมือนเดิมทุกครั้ง พีมโชคร้ายที่พีมไม่รู้ว่าพีมจะอยู่กับพี่ไท ไปจนถึงเมื่อไหร่ พีมโชคร้ายแค่นั้นเลย ที่เหลือตั้งแต่พีมคบพี่ไท พีมรู้สึกตลอดเวลาว่าพีมโชคดีที่เจอคู่ชีวิตได้เร็วขนาดนี้ ไม่ว่าเรื่องมันจะไปทางไหน ไม่ว่าเรื่องมันจะจบยังไง ตอนนี้โชคดีที่สุดแล้วค่ะ”
ชวนคอข่าวมาร่วมชมคลิปสุดประทับใจกันอีกสักครั้ง
กว่าจะถึงวันนี้…สู้
เวลาคือสิ่งที่พิสูจน์ว่าสองคนนี้รักกันแค่ไหน
ลูกจ๋า เวลาคือสิ่งสำคัญ
เป็นเวลาที่จะได้ใช้ร่วมกัน
และคนทั้งสองก็ใช้เวลาร่วมกันได้อย่างดีที่สุด
ชมคลิป >> บรรยากาศงานแต่ง
ชวนส่อง ข้อความจากใจพี่ๆ ทีมคนเบื้องหลังระบุว่า
“ปัจจุบันดีที่สุดแล้ว - อยู่กับปัจจุบัน - โมเม้นนี้ – พีมกับพี่ไทมีวันนี้วันเดียว - ทุกคนก็มีวันเดียว อยากให้แฮปปี้กับ ณ โมเม้นปัจจุบัน”
บรีฟที่น่ารักมากจากน้องพีมและน้องไทแห่งเพจ สู้ดิวะ
.
สำหรับเราคำว่า present ของพีมและไท ไม่ได้หมายถึงแค่วันนี้ ตอนนี้ เวลานี้ แต่ยังเป็นของขวัญชิ้นสำคัญที่อยากเติมความสุขให้กัน จนกลายมาเป็นประโยคพิเศษในงาน
“leave your previous moment, enjoy the precious present”
.
เพราะทุกคนคือของขวัญคนสำคัญของน้อง ๆ ในวันนี้ และเราเชื่อว่ามีอีกหลายคนรอบตัวที่น้องๆ ให้ความสำคัญไม่แพ้กัน
ออร่าความสุขที่ส่งต่อให้กันในงาน เป็นคำตอบได้อย่างดีถึง “present” ที่น้องๆ มีทุกคนรอบข้างและมีกันและกัน
.
พี่ ๆ ขอมอบวิดิโอนี้เป็นของขวัญแต่งงานให้น้องพีม น้องไทนะคะ
ขอบคุณ attitude ดีๆ พลังบวกที่น้องๆ แชร์ มันทำให้เรามองความสุขและความรักรอบตัวในมุมที่สวยงาม
.
มีความสุขมากๆ กับทุก ๆ วันนะคะ
.
จากใจ
พี่ๆ The Happy Moment
Le Studio Chiang mai ตัด เช่า ชุดแต่งงานเชียงใหม่
ช่างแต่งหน้าทำผมเชียงใหม่ Meaw Make-Up
Keng Hair Design ช่างทำผมเชียงใหม่
NON Photography
และพี่ๆ ทีมงานทุกคน
ขอบคุณอีกครั้งที่มาร่วมสร้างโมเมนต์นี้ด้วยกัน ☺️
ป.ล. ขอบคุณทุกข้อความนะคะ คุณพ่อน้องไทได้มาอ่านทุกคำยินดีที่ส่งให้น้องด้วยแล้วด้วยตัวเองด้วยแล้วค่ะ ❤️
ย้อนอ่านโพสต์สุดซึ้งของ "คุณหมอไท"คนเดิม เมื่อ 15 เมษายน 2566 ระบุไว้ว่า
สวัสดีครับ
.
วันนี้ผมจะมาทวนเรื่องของตัวเองหน่อยครับ
.
Median time to progression 6 months
.
ตัวเลข 6 เดือนนี้สำคัญกับผมมากครับ มันแปลว่าที่ 6 เดือนหลังจากวินิจฉัยจะมี 50% ของคนที่เป็นโรคมะเร็งปอดชนิดนี้ ที่มีการลุกลามของมะเร็งเพิ่มขึ้น และดื้อต่อการรักษาหลักที่กำลังให้อยู่
.
.
ตุลาคม 2565
.
จุดเริ่มต้นของเรื่องราว
ผมได้รับการวินิจฉัยเป็นมะเร็งปอดที่มีการลุกลามไปสมอง ผมรับการผ่าตัด รับการตรวจทั้งร่างกาย รับยาเคมีบำบัด รับการฉายแสง
.
.
พฤศจิกายน 2565
.
หลังจากรับผลข้างเคียงทุกอย่าง ขนร่วงหมดตัว
ผมเริ่มตั้งหลักกับตัวเองใหม่
ตัดสินใจเปิดเพจ สู้ดิวะ ขึ้นมา เพื่อตั้งใจส่งต่อสิ่งเล็กๆบางอย่าง และมันดันส่งได้จริงๆ
.
.
ธันวาคม 2565
.
ติดตามผลการรักษาครั้งแรกที่ 3 เดือน
ผลเอกซเรย์คอมพิวเตอร์บอกว่าก้อนที่ปอดผมมีขนาดเล็กลง และมะเร็งไม่มีการกระจายไปที่อวัยวะอื่นเพิ่มเติม ตัวโรคในภาพรวมยังคงสงบ
แต่ก้อนในสมอง ไม่ใช่แบบนั้น
เนื่องจากยาที่ผมได้มันผ่านเข้าสมองได้น้อยมาก เชื้อมะเร็งในเนื้อสมองผมจึงเริงร่า
ผมได้เรียนรู้ว่า ชีวิตเราโคตรไม่แน่นอน สุดท้ายเราจะต้องตายและเราไม่รู้ว่ามันจะเป็นวันไหน
.
.
มกราคม 2566
.
อาการผมดีขึ้นมากๆ ผมกลับไปออกกำลังกายได้แทบจะปกติ เล่นบาสได้ ปั่นจักรยานได้ เข้ายิม ฟิตร่างกายให้กลับไปเหมือนตอนก่อนป่วย
ผมได้กลับไปสอนนักศึกษา ได้กลับไปทำงาน เริ่มวางแผนที่จะกลับไปใช้ชีวิตอย่างคนทั่วไป
ผมได้แชร์มุมมองเรื่องงานที่เราอยากทำไปจนวันสุดท้ายกับทุกท่าน
.
.
กุมภาพันธ์ 2566
.
ติดตามในสมอง 3 เดือนหลังจากฉายแสงครบ
ถึงแม้ก้อนที่ฉายแสงไปจะยุบลง
แต่มีก้อนใหม่เพิ่มขึ้นมา 3 ก้อน
ผมตัดสินใจที่จะสังเกตอาการไปก่อน ขอไปพูดกับน้องสวนกุหลาบก่อน แล้วค่อยว่ากันหลังจากนั้น ถ้าทุกท่านจำได้ ในโพสต์นั้น ผมเขียนว่า
.
“ผมอาจไม่สามารถพูดอะไรแบบนี้ได้แล้วและอาจจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเคยมาพูดงานนี้”
ซึ่งผมหมายความแบบนั้นจริงๆ
.
เพราะหลังจากได้ไปสวนกุหลาบ
ผมกลับมารับการตรวจสมองอีกครั้ง
ก้อนที่เจอครั้งก่อนนั้น
โตขึ้นเป็นสองเท่า ร่วมกับมีก้อนใหม่เพิ่มขึ้นอีก
ตอนนี้ในหัวผมมีทั้งหมด 13 ก้อนครับ
และ
ผมมีอาการชักร่วมด้วย
.
ผมจำเป็นต้องได้รับการรักษาด้วยการฉายแสงทั้งศีรษะ เพื่อกำจัดเชื้อมะเร็งที่น่าจะกระจายไปทั่วสมอง ซึ่งก็แปลว่าเนื้อสมองส่วนปกติของผมก็จะโดนรังสีไปด้วย ส่งผลให้สมองผมเสื่อมแน่นอน แค่มากหรือน้อย เร็วหรือช้าเท่านั้น จะเรียนปริญญาเอกอีกใบก็คงจะเป็นไปได้ยากมากๆ ถึงผมจะไม่อยาก แต่มันก็เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดแล้วจริงๆ
.
.
มีนาคม 2566
.
ผมเริ่มรับการฉายแสงทั่วศีรษะ โชคไม่ดีเท่าไร สมองผมบวมเยอะ ทำให้ผมมีความดันในกะโหลกเพิ่มขึ้น ผมปวดหัวมากๆ ปวดแบบลูกตาจะกระเด็นออกมา ผมอ้วกพุ่งออกมาทางจมูกด้วยความแรงเดียวกับที่พุ่งออกทางปาก
ผมได้นอนโรงพยาบาลสังเกตอาการ และรับยาสเตียรอยด์เพื่อกดการอักเสบของสมอง ยาทำงานได้อย่างยอดเยี่ยม แต่ก็ต้องแลกกับผลข้างเคียงของมัน
.
.
หลังจากนอนโรงพยาบาลไปครึ่งเดือน ผมได้กลับบ้านและเขียนโพสต์ว่า
“ทำไมเราถึงยังตายไม่ได้”
เพราะช่วงที่นอนโรงพยาบาลนั้น
ผมคิดถึงการยอมแพ้ขึ้นมาจริงๆ
.
ต้องบอกตรงนี้เลยว่า ผมประทับใจโพสต์นี้ที่สุดตั้งแต่เปิดเพจมาเลยครับ เพราะโพสต์นี้มันมากกว่าการที่คนทักมาให้กำลังใจผม แต่คนในเพจกำลัง ให้กำลังใจ กันและกัน ขอบคุณทุกคนมากครับ น่ารักมากๆเลย
.
.
หลังจากนั้นสองวัน
ผมก็มีอาการปวดหัวรุนแรงอีกครั้ง
ผลเอกซเรย์คอมพิวเตอร์สมองบอกว่า
ก้อนในสมองผมมีเลือดออกและเลือดนั้นทำให้แรงดันในสมองเพิ่มขึ้น ผมอาจต้องรับการผ่าตัดระบายเลือดออก
.
.
โชคดีที่สุดท้ายปริมาณเลือดนั้นไม่ได้มากพอที่จะต้องผ่าตัดเปิดสมอง อาการปวดหัวน่าจะเป็นผลข้างเคียงจากการฉายแสงมากกว่า แต่ก็ต้องรอทำเอกซเรย์ด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าดูกันอีกที ระหว่างนี้ก็กินยากดการอักเสบลดสมองบวมต่อไปก่อน ซึ่งพอกินยาตัวนี้ติดต่อกันนานๆ ทำให้ต้องกินยาป้องกันการติดเชื้อราในปอดควบคู่ไปด้วย ค่าผลเลือดต่างๆก็พังไปหมด ทั้งทีออกกำลังกายและคุมอาหารอย่างดีกินยาสม่ำเสมอในขนาดสูงสุด แต่ค่าไขมันเลวในเลือดก็สูงกว่าค่าปกติมากๆ เป็นค่าไขมันที่ถ้าผมจะเป็นเส้นเลือดตีบก็ไม่น่าแปลกใจเลยครับ นอกจากนี้ยังต้องกินยากันชักและยาชะลออาการสมองเสื่อมทุกวันเช้าเย็น มีอาการปวดกระดูกซี่โครงที่ไม่รู้ว่ามะเร็งลุกลามไปกระดูกหรือเปล่า
.
.
.
ก่อนหน้านี้ผมจองตั๋วไปญี่ปุ่นเอาไว้ แต่จากอาการต่างๆที่เล่าไป ทำให้ความหวังที่ผมจะได้ไปเที่ยวดูเป็นเรื่องตลกมากๆเลยครับ สองวันก่อนจะถึงวันบินไปญี่ปุ่น ผมยังแอดมิทอยู่ด้วยซ้ำ
.
แต่
.
ผมก็พยายามเตรียมตัว เตรียมยา เขียนประวัติตัวเองอย่างดีที่สุด เผื่อว่าถ้ามีอะไรเกิดขึ้นที่นู่น หมอญี่ปุ่นจะต้องน้ำตาไหลให้กับประวัติที่ผมเตรียมไว้ให้แน่ๆ (แต่ดีสุดคือไม่ต้องไปเจอเขานะ)
.
.
เหลือเชื่อมากๆครับ
จังหวะตอนที่เครื่องบินกำลังลงจอดที่สนามบิน ภาพของแสงอาทิตย์ที่หน้าต่าง มันเหลือเชื่อมากๆ
ทั้งการที่ผมได้ไปเดินกับพีมในสวนที่เต็มไปด้วยดอกซากุระ ได้พาพีมไปดูภูเขาไฟฟูจิ ไปสูดอากาศสะอาด ไปกินอาหารอร่อย ได้ไปสวนสนุก ได้ใส่ชุดกิโมโนคู่กัน และผมได้กินเนื้อโกเบ ทั้งหมดนี้มันเกิดขึ้นแล้วจริงๆ
.
ใช่ครับ ผมยังคงกินยามหาศาล นอนได้วันละ 2-3 ชั่วโมง ยังคงท้องผูกและต้องคอยสังเกตุอาการตัวเองอย่างจริงจังตลอดเวลา
.
แต่ ผมก็ยังไปด้วยความหวัง
ว่าทุกอย่างจะเรียบร้อย
.
ทุกเช้าที่ผมตื่นขึ้นมา ทุกสิ่งที่ผมยังมองเห็น ทุกมื้อที่ผมได้กิน ทุกที่ที่ผมได้ไป ทุกกิจกรรมที่ผมได้ทำมันโคตรพิเศษ ทุกคนตรงหน้าคือคนสำคัญที่สุด
ทุกวันที่ผมได้รับมา ผมตั้งใจใช้มันเหมือนมันเป็นครั้งสุดท้าย (เพราะมันอาจเป็นครั้งสุดท้ายของผมจริงๆ)
.
ผมไม่รู้เลยว่า ผมจะตื่นมามองเห็นแบบนี้อยู่ไหม
ผมไม่รู้เลยว่า ผมจะมีโอกาสมาเที่ยวอีกไหม
ผมไม่รู้เลยว่า ผมจะเป็นคนครึ่งแรก หรือครึ่งหลัง
.
.
.
เมษายน 2566
.
เอาล่ะ
.
ตอนนี้คือ 6 เดือน หลังจากวันที่ผมได้รับการวินิจฉัยเป็นมะเร็งปอดระยะสุดท้าย
.
“ถ้ามันไม่ตอบสนองต่อการรักษาล่ะ”
“ถ้าโรคมันกำเริบ หรือโรคมันไม่สงบล่ะ”
.
นี่เป็นความกังวลที่ผมไม่สามารถพยายามทำอะไรเพื่อเปลี่ยนแปลงผลลัพธ์ของมันได้เลย
.
ผมทำได้แค่ดูแลร่างกายและจิตใจให้ดีที่สุดเท่าที่ทำได้ อดทนกับทุกอย่างที่เข้ามาในชีวิต
แล้วหวังว่าทุกอย่างจะเรียบร้อย
.
ทำได้แค่ หวัง จริงๆครับ
.
ที่ผ่านมาผมเจอความผิดหวังเยอะเหมือนกันครับ ใช้พลังใจเยอะมากๆในการกลับมาสู้ต่อ แต่ผมก็กอดความหวังนั้นไว้ เพราะมันดูเป็นสิ่งเดียวที่ผมมี
.
ผมก็ไม่รู้อะไรเกิดก่อนกันนะครับ
เพราะมีชีวิตจึงมีความหวัง
หรือเพราะมีความหวังจึงมีชีวิต
.
.
ผมบอกกับพีมในวันที่กำลังไปทำการตรวจติดตามที่ 6 เดือนว่า
.
“ไม่ว่าผลจะเป็นยังไง เค้าจะยังไม่ตายทันทีที่รู้ผล
เย็นนี้เราจะยังไปกินข้าวอร่อยๆกันเหมือนเดิม”
.
.
.
ผมได้ทำเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ที่ทรวงอกและช่องท้อง รวมถึงตรวจคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าสมอง
.
และผลการติดตามที่ 6 เดือนคือ
.
ก้อนที่ปอดขวายุบลงไปครึ่งหนึ่งจากของเดิม
ก้อนเล็กๆที่ปอดซ้ายหายไปเกือบหมด
ก้อนในสมองทุกก้อนยังอยู่ แต่ถือว่าสงบ
ไม่มีก้อนขึ้นใหม่ที่อวัยวะอื่น ไม่มีการกระจายไปที่กระดูก ตับ ไต ปอด หรือต่อมน้ำเหลือง มีเพียงก้อนที่เยื่อหุ้มปอดที่โตขึ้นไปกดกระดูกซี่โครงทำให้มีอาการปวด ซึ่งสามารถทำการฉายแสงเฉพาะจุดที่ก้อนได้
.
.
.
ผม
ได้เป็น
“คนครึ่งหลัง”
แล้วครับ
.
กลุ่มคนที่สถิติจากวิจัยบอกไม่ได้แล้วว่าจะอยู่ไปอีกนานเท่าไร และตัวเลขที่น่าสนใจต่อไปคือ สัดส่วนผู้ที่รอดชีวิตที่ 5 ปี อยู่ที่ประมาณ 20%
.
ผมหวังให้เป็นผมนะ
.
.
ถ้าจะให้สรุปบทเรียนจากน้องมะเร็งในช่วงที่อยู่ด้วยกันมาคงได้ว่า
.
“ชีวิตไม่แน่นอน สุดท้ายเราทุกคนจะต้องตาย อยู่กับปัจจุบัน ใช้แต่ละวันให้เหมือนวันสุดท้าย ถ้ามีอะไรที่ทำเพื่อคนอื่นได้ ก็แบ่งปันความโชคดีให้เขาบ้าง และไม่ว่าชีวิตจะเลวร้ายแค่ไหน อย่าหมดหวังกับชีวิตเด็ดขาด”
.
.
วันหยุดสงกรานต์แบบนี้ หลายๆท่านอาจจะกำลังใช้ช่วงวันหยุดให้รางวัลตัวเองด้วยการเดินทางท่องเที่ยว หลายท่านคงมีโอกาสกลับบ้านไปอยู่กับครอบครัวหรือคนรัก ขอให้ทุกท่านใช้เวลาตรงหน้าให้เต็มที่ครับ ให้เหมือนกับเป็นวันสุดท้าย เพราะเราไม่รู้จริงๆครับ ว่าสงกรานต์ปีหน้าจะเป็นอย่างไร เราจะยังได้เจอกันไหม
.
ผมขอตัว ไปทานข้าวกับที่บ้านก่อนนะครับ
.
.
สวัสดีวันสงกรานต์ครับ
.
.
.
.
ผมว่า เราเดินทางด้วยกันมานานเหมือนกันครับ
คงจะดี ถ้ามี “สู้ดิวะ รวมเล่ม”
ไว้ติดตามกันนะครับ
ล่าสุด ก็มีหนังสืออกมาให้ทุกคนได้ร่วมอ่านประสบการณ์และได้ร่วมแชร์ประสบการณ์ในครั้งนี้..ร่วมกัน
ย้อนอ่านโพสต์แรก ที่ทำให้โลกรู้จักหมอกฤตไท เพจสู้ดิวะ
สวัสดีครับ
วันนี้จะขอแนะนำตัวเองนิดนึงครับ
ผมชื่อ กฤตไท ธนสมบัติกุล ปัจจุบันอายุ 28 ปีครับ
.
ผมจะพยายามเล่าให้กระชับที่สุดละกันนะครับ
.
.
ผมเกิดในครอบครัวใหญ่ครับ นึกภาพครอบครัวที่มีอากงอาม่า กับหลานๆหลายสิบชีวิตครับ
ผมมีชีวิตวัยเด็กที่มีความสุขมากๆครับ กินเก่ง เล่นเก่ง พูดเยอะ เป็นเด็กน้อยตาตี่อ้วนกลมที่อารมณ์ดีมากๆ
.
แต่ชีวิตผมก็มีจุดเปลี่ยนตรงช่วงมัธยมต้น ครอบครัวผมมีปัญหานิดหน่อย พ่อแม่ผมท่านได้ตัดสินใจอยู่ห่างกัน ซึ่งดีต่อท่านทั้งสองจริงๆ แต่ในมุมของผม มันทำให้ผมต้องเติบโตอย่างก้าวกระโดด เพราะต้องอยู่กับแม่และน้องสาว ผมต้องเป็นผู้ใหญ่ทันที
ซึ่งมองย้อนกลับไป ผมขอบคุณเหตุการณ์ครั้งนั้นมากๆที่ทำให้ผมได้อ่านหนังสือ ได้พัฒนาความคิดและทัศนคติตัวเองขึ้นมา ถ้าไม่ได้เจอเรื่องนี้ ผมคงยังเป็นคุณชาย เป็นเด็กมัธยมธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น
.
ผมเป็นคนที่มีเพื่อนฝูงมากมายตั้งแต่ประถมจนถึงมัธยม คือต้องบอกว่าผมให้ความสำคัญกับเรื่องเพื่อนมากกว่าเรื่องเรียน
.
.
ผมมีช่วงชีวิต 6 ปีที่ทรงคุณค่าที่สุดในโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย ผม OSK 131 ครับ
แน่นอนครับ ขึ้นชื่อว่าสวนกุหลาบ ผมมีความเป็นสวนกุหลาบอย่างที่สุด และผมมีเพื่อนสวนกุหลาบที่เอาอะไรมาแลกก็ไม่ยอม
ผมได้ถูกปลูกฝังให้เป็นสุภาพบุรุษสวนกุหลาบ รักเพื่อน เคารพพี่ นับถือครู กตัญญูพ่อแม่ ดูแลน้อง
.
.
หลังจากจบสวนกุหลาบ ผมได้สอบติด คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ รุ่น 56 ครับ
ชีวิตได้ขึ้นเหนือในวัย 18 ปี เป็นจุดเปลี่ยนชีวิตที่สำคัญเลยครับ จากเด็กกรุงเทพ ย้ายมาใช้ชีวิตอยู่ในประเทศเชียงใหม่
โอเค ผมเรียนหมอ 6 ปีครบตามเวลา ไม่ขาดไม่เกินครับ เนื่องจากว่าผมมาเชียงใหม่คนเดียว จึงได้มามีเพื่อนใหม่ที่นี่ทั้งหมด ผมโคตรรักพวกมันเลย เพื่อนชาวเหนือ พาผมไปกินอาหารแปลกๆ เรียนรู้วัฒนธรรม คำเมือง การใช้ชีวิต
ซึ่งทุกอย่างมันมาผ่านบาสเกตบอลครับ ผมเป็นนักบาสเกตบอลของคณะแพทย์เชียงใหม่ที่ยิ่งใหญ่ครับ เรื่องราวเยอะมากๆ
.
คราวนี้ผมเรียนจบหมอละ ก็เรียนต่อเฉพาะทางต่ออีก 3 ปีทันทีเลยครับ
ผมเลือกสาขา เวชศาสตร์ครอบครัว (Family Medicine) เป็นแพทย์ใช้ทุนร่วมกับเรียนต่อเฉพาะทางที่โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ครับ เรื่องแฟมเมดเองก็เล่าได้อีกหนึ่งตอนใหญ่ๆเหมือนกันครับ ทำไมคนแบบผม ที่หยิบคนมาสิบคนก็ไม่มีใครบอกว่าผมดูเป็นหมอแฟมเมด แต่ทำไมผมถึงเลือกเรียนสาขานี้ และ ที่สำคัญคือทำไม ผมถึงเลือกที่เมื่อเรียนจบแล้ว ผมกลับไม่ได้ปฏิบัติงานในฐานะหมอแฟมเมด แต่กลับย้ายมาทำงานสายระบาดวิทยาคลินิก น่าสนุกใช่ไหมครับ ไว้เรามาว่ากันครับ
.
ระหว่างที่เรียนเฉพาะทาง ผมก็ฟิตมากพอที่จะไปศึกษา สาขาเฉพาะทางอีกอันหนึ่งคือ ระบาดวิทยาคลินิก (Clinical Epidemiology and Clinical Statistic) สาขาที่เรียกได้ว่าหลายคนในประเทศไทยอาจจะยังไม่รู้จักด้วยซ้ำ แต่หลักๆคือเป็นศาสตร์ของการตอบโจทย์ ตอบปัญหาของหมอในกระบวนการรักษาคนไข้ด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และสถิติ สร้างผลงานวิจัยเพื่อช่วยให้กระบวนการดูแลคนไข้นั้นดีขึ้นครับ
.
และ
ผมยังฟิตกว่านั้น ด้วยการเรียนปริญญาโท วิทยาการข้อมูล คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (Data Science) อีกใบพร้อมกันไปเลย สนุกมากครับ
ปัจจุบันก็เรียนจบด้วยดี กำลังจะรับปริญญาแล้วครับ ได้เรียนรู้เรื่องข้อมูล เรื่องแนวคิดทางธุรกิจ การแก้ปัญหาด้วยแนวคิดทาง DS และวิธีการจัดการกับข้อมูลต่างๆ เพื่อพร้อมรับมือกับโลกอนาคตครับ
.
.
โอเคครับ ปัจจุบัน ผ่านไป 3 ปี ผมจบแพทย์เฉพาะทางเวชศาสตร์ครอบครัว และปริญญาโทวิทยาการข้อมูล
ผมได้บรรจุเป็นอาจารย์ประจำศูนย์ระบาดวิทยาคลินิกและสถิติศาสตร์คลินิก ภาควิชาเวชศาสตร์ครอบครัว คณะแพทย์ศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ผมทำงานได้สองเดือนแล้วครับ ผมค่อนข้างมีทักษะในเรื่องการเล่าเรื่องและการสอนครับ
.
เรากำลังสร้างทีมกัน สร้างทีม CE (clinical epidemiology) เชียงใหม่ กับสุดยอดอาจารย์แห่งยุคและทีมงานคุณภาพ
.
ในส่วนของการใช้ชีวิตเอง
ผมชอบออกกำลังกายมากครับ เนื่องจากเป็นนักกีฬาด้วย เข้ายิมด้วย ดูแลสุขภาพดีมากๆ ครับ ให้ความสำคัญกับอาหารและการนอนหลับ ชอบอ่านหนังสือ ฟัง podcast ลงทุน ตามสไตล์วัยรุ่น productive ครับ
ชีวิตในวัย 28 ปี หลังจากผ่านการลงทุนในตัวเองมาอย่างหนักหน่วง ผมได้เริ่มวิ่งตามความฝันอย่างเต็มที่ เดินตามแผนที่วางไว้ได้อย่างงดงาม
ผมกำลังจะแต่งงาน กำลังจะซื้อบ้าน
.
.
แล้ว
.
.
ผมก็เป็นมะเร็งปอดระยะสุดท้ายครับ