
รายงานข่าวจากประชุมคณะอนุกรรมาธิการด้านการประกันสังคม ในคณะกรรมาธิการการแรงงาน วุฒิสภาระบุว่า จากการศึกษาของนักวิชาการหลายภาคส่วนเกี่ยวกับสถานะกองทุนประกันสังคมพบว่า กองทุนประกันสังคมจะขาดสภาพคล่อง และล้มละลายในอีก 30 ปี ข้างหน้า ด้วยเหตุโครงสร้างประชากร
ทั้งนี้เป็นผลมาจากสัดส่วนการจ่ายเงินบำนาญชราภาพมากกว่าการเก็บเงินสมทบเข้ากองทุน รวมถึงรัฐบาลค้างจ่ายเงินเข้ากองทุนอีกกว่า 7 หมื่นล้านบาท และนายจ้างหักเงินลูกจ้างแต่ไม่นำส่งเงินสมทบเข้ากองทุน
นอกจากนี้เห็นว่าการติดตามเร่งรัดหนี้เงินสมทบค้างชำระกองทุนประกันสังคม ควรจ้างตัวแทนหรือบริษัทเอกชนในการติดตามเร่งรัดหนี้ เพื่อให้การติดตามหนี้เงินสมทบค้างชำระกองทุนมีประสิทธิภาพและเพิ่มมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม หากไม่รีบดำเนินการอาจจะทำให้มีหนี้เงินสมทบค้างชำระกองทุนเพิ่มมากขึ้นทุกปี หรือสำนักงานประกันสังคมอาจจะทำโปรโมชั่นสร้างแรงจูงใจให้ผู้ประกอบการมาชำระเงินสมทบค้างชำระกองทุน เช่น ให้ส่วนลดตามสัดส่วนที่ชำระสมทบค้างชำระกองทุนประกันสังคม เป็นต้น
ดร.วรวรรณ ชาญด้วยวิทย์ ที่ปรึกษาด้านหลักประกันทางสังคม สถา บันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) กล่าวว่า สาเหตุที่ทำให้กองทุนประกันสังคมติดลบในอนาคต เกิดจากโครงสร้างประชากรที่คนอายุยืนยาวมากขึ้น ทางกองทุนจึงต้องจ่ายเงินบำนาญให้กับแรงงานจำนวนมาก ซึ่งมีส่วนต่างมากกว่าอัตราการเก็บเงินสมทบเข้ากองทุน
นอกจากนี้ตามกฎหมายกำหนดให้กองทุนประกันสังคม สามารถลงทุนได้ในสินทรัพย์ที่มีความมั่นคงสูง เช่น พันธบัตรรัฐบาล พันธ บัตรรัฐวิสาหกิจที่กระทรวงการคลังค้ำประกัน และหุ้นกู้เอกชน 60% และสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยง เช่น เงินฝากธนาคาร ตราสารหนี้ หน่วยทุน และหุ้นสามัญ 40% เพื่อให้กองทุนมีความปลอดภัย เมื่อลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงได้ไม่มาก ผลตอบแทนที่ได้รับจึงไม่สูงมากนัก ต่อให้มีนักลงทุนที่เก่งและเชี่ยวชาญจำนวนมาก แต่ก็จะไม่สามารถทำกำไรได้ถึง 10% อย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม สมมติฐานของทีดีอาร์ไอ พบว่าหากคณะกรรมการยังคงปล่อยให้สถานการณ์เป็นไปเช่นนี้ ในอีก 25 ปีข้างหน้า จะเริ่มเห็นเงินในกองทุนลดลงอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นอีก 5 ปี กองทุนก็จะติดลบและ ล้มลงในที่สุด เชื่อว่าอีก 30 ปี กองทุนประกันสังคมจะขาดสภาพคล่อง ซึ่งหลังฝ่ายการเมืองเห็นว่าเงินในกองทุนประกันสังคมลดลงอย่างรวดเร็ว ก็มีความเป็นไปได้มากที่จะมีการปล่อยสำนักงานประกันสังคมออกเป็นอิสระ
รศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ กรรมการวิทยาลัยนานาชาติ ปรีดี พนมยงค์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า การจะแก้ปัญหาฐานะทางการเงินของกองทุนประกันสังคมได้นั้น ต้องดำเนินการ 4 เรื่องสำคัญคือ
1.ต้องปรับเพดานค่าจ้างเฉลี่ยที่ใช้ในการคำนวณจ่ายเงินสมทบ เพราะเพดานค่าจ้างเฉลี่ย 15,000 บาท ซึ่งใช้มามากกว่า 30 ปีแล้ว ไม่สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป
ขณะนี้ผู้ประกันตน 37.5 % มีค่าจ้างเท่ากับหรือสูงกว่าเพดานค่าจ้างปัจจุบัน ขอเสนอให้ปรับเพดานค่าจ้างเป็น 17,500-20,000 และให้ปรับเพิ่มทุกปีตามการเพิ่มขึ้นของค่าจ้างเฉลี่ย
ทั้งนี้การทำปรับเพดานค่าจ้างเฉลี่ยจะทำให้เงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมเพิ่มประมาณ 5-6 % โดยที่ผู้ประกันตนที่มีค่าจ้างต่ำกว่าค่าจ้างเฉลี่ยไม่ต้องรับภาระจ่ายสมทบเพิ่ม
ส่วนผู้ประกันตนมีค่าจ้างสูงกว่าเพดานค่าจ้างเฉลี่ยใหม่ต้องจ่ายสมทบเพิ่มเพียงเล็กน้อย ดังนั้น การกำหนดเพดานค่าจ้างเฉลี่ยให้เหมาะสมจะทำให้สามารถกำหนดสิทธิประโยชน์และเงินสมทบให้เหมาะสมกับภาวะทางเศรษฐกิจและสังคม รวมทั้งก่อให้เกิดความยั่งยืนทางการเงินและก่อให้เกิดความมั่นคงต่อกองทุนประกันสังคมด้วย
2. การเพิ่มอายุผู้มีสิทธิได้รับเงินบำนาญจากกองทุนชราภาพจาก 55 ปี เป็น 60 ปี โดยทยอยปรับเพิ่มขึ้นทุกปีอย่างค่อยเป็นค่อยไป
3.ควรศึกษาถึงความจำเป็นต้องเพิ่มอัตราจ่ายเงินสมทบทั้งส่วนของนายจ้าง ลูกจ้างและรัฐบาลเพื่อให้รายรับเพียงพอต่อ รายจ่าย เนื่องจากค่าใช้จ่ายต่างๆเพิ่มสูงขึ้น
4.ควรลดการแทรกแซงทางการเมือง ลดการใช้นโยบายประชานิยม เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพ ความคล่องตัว ความโปร่งใสตรวจสอบได้ และเกิดการบริหารงานอย่างมืออาชีพ รวมทั้งควรศึกษาเพื่อแปรสภาพสปส.ให้เป็นองค์กรอิสระของรัฐ
ส่วนร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำและขั้นสูงสุด ที่ใช้เป็นฐานนการคำนวณเงินสมทบกองทุนประกันสังคม พ.ศ. ...คาดว่าจะมีผลบังคับใช้และจะปรับขึ้นเพดานเงินสมทบ และอาจจะต้องเริ่มดำเนินการตั้งแต่ปี 2567 จากการปรับฐานค่าจ้างขั้นสูงจาก 15,000 บาท แบบค่อยเป็นค่อยไป เป็นสูงสุด 23,000 บาท ภายในปี 2573 จะทำให้เพดานเงินสมทบอยู่ที่ 1,150 บาท
- ปี 2567-2569 เพดานเงินเดือน 17,500 บาท ต้องจ่ายเงินสมทบสูงสุด 875 บาท
-ปี 2570-2572 เพดานเงินเดือน 20,000 บาท ต้องจ่ายเงินสมทบสูงสุด 1,000 บาท
-ปี 2573 เป็นต้นไป เพดานเงินเดือน 23,000 บาท จ่ายเงินสมทบสูงสุด 1,150 บาท
ขณะที่สิทธิประโยชน์ของผู้ประกันตน เช่น เงินบำนาญชราภาพ จะได้ไม่ต่ำกว่า 20% ของค่าจ้างเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้ายที่นำส่งเข้ากองทุน หากส่งเงินสมทบ 15 ปี จะได้บำนาญ 20 % ของค่าจ้าง และมากกว่า 15 ปี จะเพิ่มอีก 1.5 % จากการส่งเงินสมทบทุกๆ 12 เดือ
ผศ.ดร.สันติ ชัยศรีสวัสดิ์สุข คณะพัฒนาการเศรษฐกิจ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) กล่าวว่า การขึ้นเงินสมทบกองทุนประกันสังคม ควรแจ้งไปยังผู้ประกันตนก่อนจะที่ปรับขึ้น การจะปรับขึ้นเงินสมทบต้องแยกเป็น 2 ส่วน
โดยส่วนแรก จะอยู่ที่สิทธิประโยชน์ที่ผู้ประกันตนพึงจะได้รับเพิ่ม จะมีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ อีกส่วนคือ ต้องคำนึงถึงความสามารถในการจ่ายเพิ่มของแรงงานและมนุษย์เงินเดือนด้วย เพราะความสามารถในการจ่ายเพิ่มของแต่ละคนไม่เหมือนกัน
“หากต้นทุนกองทุนฯ เพิ่ม จะต้องปรับขึ้นเงินสมทบ ก็ต้องปรับเพิ่มในเรื่องสิทธิประโยชน์ เหมือนประกันชีวิตเมื่อต้นทุนเพิ่ม ก็ต้องเก็บเบี้ยเพิ่ม การจะปรับเพิ่มเงินสมทบ คิดว่าไม่ใช่เรื่องเล็กที่จะทำกันเพียงแค่การเปิดรับฟังความคิดเห็น ควรต้องออกมาพูด ออกมาอธิบายให้ชัดเจน ”