ความคืบหน้าสถานการณ์แพร่ระบาดโรคโควิด-19 ที่ล่าสุด มีข้อมูลที่กระทรวงสาธารณสุขของสิงคโปร์ รายงานออกมาค่อนข้างชัดว่า มีการระบาดของโควิดระลอกใหม่ในประเทศ ตัวเลขผู้ติดเชื้อจาก 1,000 ราย เมื่อเดือนที่แล้ว เพิ่มเป็น 6,000 - 7,000 ราย ในเดือนนี้ สอดคล้องกับจำนวนผู้ป่วยที่เข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลจาก 200 ราย เพิ่มขึ้นเป็น 350 ราย ต่อวัน
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง : พบโอมิครอนสายพันธุ์ใหม่ "BQ.1.1" และ "XBB" กรมวิทย์ฯยืนยันไม่เจอในไทย
โดยข้อมูลไวรัสที่สร้างปัญหาในสิงคโปร์ตอนนี้ คือ สายพันธุ์ XBB ซึ่งเป็นลูกผสมระหว่าง BJ.1 กับ BM.1.1.1 ซึ่งคาดว่า เกิดขึ้นในผู้ที่ติดไวรัสสองสายพันธุ์นี้พร้อม ๆ กัน จุดเด่นของไวรัส XBB คือ จุดที่เป็นรอยต่อของไวรัสสองสายพันธุ์นี้ อยู่ตรงบริเวณตำแหน่งโปรตีนหนามสไปค์พอดี เป็นไวรัสลูกผสมที่มีส่วนของสไปค์ส่วนหนึ่ง และส่วนด้านหน้าทั้งหมดมาจาก BJ.1 ขณะที่ส่วนสไปค์ที่เหลือ รวมไปถึงโปรตีนอื่น ๆ บนผิวอนุภาคจะมาจาก BM.1.1.1 เป็นการสร้างความหลากหลาย ของไวรัสที่เกิดขึ้นแบบจำเพาะเจาะจงมาก
โดยข้อมูลจากทีมวิจัยในปักกิ่งระบุว่า XBB ถูกยับยั้งด้วยแอนติบอดีจากวัคซีน หรือการติดเชื้อในธรรมชาติได้น้อยที่สุด ในบรรดาสายพันธุ์ที่ระบาดในปัจจุบัน ซึ่งอาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ XBB เข้าแทนที่ BA.5 ในสิงคโปร์ได้อย่างรวดเร็ว ทั้งนี้ด้วยความใกล้ชิดทางภูมิศาสตร์ และ ความนิยมของนักท่องเที่ยวระหว่างไทย-สิงคโปร์ เป็นไปได้สูงว่า XBB อาจเข้ามามีบทบาทในประเทศไทย
ขณะที่วันนี้ (12 ต.ค.) นายแพทย์ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ รักษาราชการแทนอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า จากรายงานข่าวในต่างประเทศได้มีการตรวจพบโควิด 19 สายพันธุ์โอมิครอนตัวใหม่ สายพันธุ์ BQ.1.1 และ XBB โดยระบุว่าสามารถแพร่เชื้อได้เร็วนั้น กรมควบคุมโรค ขอยืนยันว่าประเทศไทยยังไม่พบโควิด 19 สายพันธุ์ BQ.1.1 และจากการเฝ้าระวังของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์พบว่า ยังไม่มีรายงานการตรวจพบสายพันธุ์ดังกล่าวในประเทศไทย
ปัจจุบันสายพันธุ์ที่แพร่ระบาดในประเทศไทยส่วนใหญ่เป็นโอมิครอน สายพันธุ์ย่อย BA.5 ซึ่งแนวโน้มสอดคล้องกับทั่วโลกที่มีการระบาดของสายพันธุ์ BA.5 เป็นสายพันธุ์หลัก
“แม้ในขณะนี้มีแนวโน้มการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ลดลง ประกอบกับในหลายพื้นที่มีการผ่อนคลายมาตรการต่าง ๆ แต่ยังคงมีมาตรการที่สำคัญ โดยเน้นมาตรการทางสังคมที่สมดุลกับชีวิตวิถีใหม่ คือ มาตรการสวมหน้ากากอนามัยในสถานที่เสี่ยง ล้างมือ เว้นระยะห่าง หากติดเชื้อโควิด 19 ให้รักษาตามอาการ ถ้าไม่มีอาการหรือมีอาการเล็กน้อย ให้กินยาตามอาการ และแยกตัวเอง 5 วัน หากจำเป็นต้องเดินทางหรือไปทำงาน ให้สวมหน้ากากอนามัย 2 ชั้น หากมีอาการมากขึ้นให้ไปพบแพทย์ และการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นยังเป็นตัวช่วยที่ลดความรุนแรงของโรคได้” นายแพทย์ธเรศ กล่าว
นอกจากนี้ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป กระทรวงสาธารณสุขได้เริ่มให้บริการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 ไฟเซอร์ฝาสีแดง สำหรับเด็กอายุ 6 เดือน ถึง 4 ปี โดยประชาชนสามารถพาบุตรหลานไปฉีดวัคซีนได้ที่หน่วยงานสาธารณสุขใกล้บ้าน และขอยืนยันว่า การให้บริการฉีดวัคซีนได้ผ่านการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ผ่านคณะกรรมการด้านวิชาการ คือ คณะอนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกัน และคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ ทั้งนี้ การเข้ารับวัคซีนต้องเป็นไปตามความสมัครใจของผู้ปกครองและเด็ก โดยการรับวัคซีนไม่เป็นเงื่อนไขในการไปโรงเรียน
ขณะที่ ดร.อนันต์ จงแก้ววัฒนา ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยนวัตกรรมสุขภาพสัตว์และการจัดการ ได้โพสต์ข้อความผ่านเพจ Anan Jongkaewwattana ระบุว่า WHO ออกเอกสารระบุว่า ยุโรปกำลังเข้าสู่การระบาดระลอกใหม่ของโควิด-19 และ การระบาดครั้งนี้จะแตกต่างจากครั้งก่อนๆคือ ไวรัสไข้หวัดใหญ่จะแพร่กระจายมาพร้อมๆกับไวรัสโรคโควิด-19 ซึ่งอาจส่งผลให้กลุ่มเสี่ยงมีความเสี่ยงมากยิ่งขึ้น...วัคซีนโควิด +ไข้หวัดใหญ่จะมีบทบาทสำคัญในการป้องกันอาการรุนแรงในกลุ่มเสี่ยงได้