
24 ธันวาคม 2568 ที่ศูนย์แถลงข่าวร่วม สถานการณ์ไทย-กัมพูชา พลอากาศโท จักรกฤษณ์ ธรรมวิชัย โฆษกกองทัพอากาศ กล่าวว่า กองทัพอากาศ ยังคงการปฏิบัติการ เพื่อสนับสนุนการร้องขอของกองทัพบกอย่างต่อเนื่อง
โดยเฉพาะพื้นที่ที่มีการปะทะบางส่วน ในระดับสีส้มคือพื้นที่ที่มีการปะทะ และพื้นที่สีแดงคือพื้นที่ที่ปัจจุบันกัมพูชายังคงยิงเข้ามาโจมตีไทย ทั้งทางเป้าหมายทหารและพลเรือน ส่งผลต่อความปลอดภัยชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน
“ยืนยันว่าสันติภาพมาพร้อมกับความจริงใจ ขณะนี้ฝ่ายกัมพูชายังไม่แสดงความจริงใจใดๆ ทั้งสิ้น กับคำว่าหยุดยิง จึงเป็นหน้าที่ที่ทหารจะต้องรักษาความปลอดภัยชีวิตและทรัพย์สิน ของประชาชน”
พลอากาศโท จักรกฤษณ์ ยอมรับว่า เมื่อเช้านี้ (24 ธ.ค. 68) ได้มีปฏิบัติการทางอากาศโจมตีเป้าหมายคลังอาวุธของกัมพูชา ใน ต.พนมซ็อมเปา อ.บานัน จ.พระตะบอง เพื่อริบรอนขีดความสามารถ เพื่อให้มั่นใจว่ากำลังรบของเรามีความปลอดภัย
เมื่อถามว่า เป็นการยกระดับการปฏิบัติงานทางอากาศ เพื่อโจมตีพื้นที่เชิงลึกของกัมพูชาครั้งแรกหรือไม่
พลอากาศโท จักรกฤษณ์ กล่าวว่า เรายังปฏิบัติต่อเป้าหมายทางการทหาร ซึ่งเป็นสิทธิในการป้องกันตนเอง ซึ่งการโจมตีทางอาวุธถือเป็นสิทธิ และเป็นการโจมตีเพื่อมนุษยธรรม ไม่ได้โจมตีที่เป้าหมายคนหรือกำลังทหารทางกัมพูชา แต่เป็นการโจมตีอาวุธที่เป็นภัยคุกคามต่างๆ ส่วนเป้าหมายที่โจมตีตั้งแต่วันแรกจนถึงปัจจุบันยืนยันว่าเป็นเป้าหมายทางทหารทั้งสิ้น และส่งผลกระทบต่อพลเรือนน้อยที่สุด
ทบ. เผย “ภูมะเขือ-ห้วยตามาเรีย” ยังยิงปะทะต่อเนื่อง ย้ำทุกสมรภูมิเจอทุ่นระเบิดสังหารบุคคล-ระเบิดดัดแปลง
ด้าน พันเอก ริชฌา สุขสุขวานนท์ รองโฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่า ในพื้นที่กองทัพที่ 1 กองกำลังบูรพา มีการสู้รบกันอย่างหนัก ได้รับรายงานล่าสุดว่าพื้นที่ปฏิบัติการสำคัญที่เราควบคุมสำเร็จแล้ว 2 พื้นที่คือ บ้านคลองรองแผง อำเภอตาพระยา และ บ้านหนองหญ้าแก้ว อำเภอโคกสูง จังหวัดสระแก้ว ส่วนบ้านหนองจาน ปัจจุบันควบคุมพื้นที่ได้บางส่วน แต่ยังคงมีการปะทะกันอย่างต่อเนื่อง
ขณะที่ พื้นที่กองทัพภาคที่ 2 จะเห็นได้ว่าพื้นที่ที่เราควบคุมได้แล้วเพิ่มมากขึ้น แต่พื้นที่ภูมะเขือ-ห้วยตามาเรีย ยังมีการยิงปะทะอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นอีก 1 พื้นที่ที่ยังมีการโจมตีเข้ามา สิ่งสำคัญพื้นที่ที่เราควบคุมได้แล้ว ยังมีการสถาปนาความมั่นคงอย่างต่อเนื่อง และสิ่งที่เราพบทุกพื้นที่ที่สำคัญคือ มีการใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคลแบบ PMN-2 ซึ่งผิดอนุสัญญาออตตาวา
นอกจากนี้มีการดัดแปลงระเบิดแสวงเครื่องจำนวนมาก ในพื้นที่เนิน 350 และปราสาทตาควาย นอกจากนี้ยังพบทุ่นระเบิดดักรถถัง เอามาดัดแปลงสังหารบุคคล เพิ่มอานุภาพทำลายล้าง รวมถึงการดัดแปลงลูกระเบิด ค. ลูกระเบิด RPG มาทำร้ายทหารไทยที่เข้าพยายามเข้าควบคุมพื้นที่ทั้งหมด จะเห็นได้ว่าระเบิดสังหารบุคคลมีทุกพื้นที่ ตั้งแต่กองทัพเรือ กองทัพภาคที่ 1 และกองทัพภาคที่ 2 ซึ่งไม่ใช่แค่ปฏิบัติการครั้งนี้ แต่ปฏิบัติการครั้งแรกในช่วงเดือนกรกฎาคม 2568 ก็พบเช่นกัน หลักฐานเหล่านี้เป็นการย้ำต่อนานาชาติ ที่กระทรวงต่างประเทศออกไปชี้แจงเป็นหลักฐานสำคัญว่ามีการละเมิด อนุสัญญาออตตาวา
พร้อมกันนี้ ขอฝากถึงประชาชนว่า ปัจจุบันในพื้นที่สระแก้ว ยังมีการปะทะกัน ขอความร่วมมือหลีกเลี่ยงพื้นที่ที่มีการสู้รบ และอพยพไปยังศูนย์พักพิงชั่วคราว รวมถึงติดตามข่าวสาร และประกาศจากส่วนราชการอย่างใกล้ชิด
เมื่อถามถึงการควบคุมพื้นที่ได้มากขึ้น มีปัญหาเรื่องการเฝ้าระวังของกำลังพลประจำจุด ดูแลอย่างไรให้ปลอดภัย พันเอก ริชฌา กล่าวว่า ในพื้นที่ที่เราควบคุมได้แล้ว ก็ยอมรับว่ายังมีมีความเสี่ยง แต่เราไม่ได้ประมาท การสู้รบในรอบนี้เป็นครั้งที่ 2 ได้รับบทเรียนหลายอย่างจากคราวที่แล้ว ว่าในจุดที่เราเข้าไปอยู่จะเป็นพื้นที่ที่ฝ่ายตรงข้ามพยายามโจมตีเข้ามา เราก็รอบคอบ อย่างที่เนิน 350 หรือประสาทตาควาย ที่เราเข้าควบคุมพื้นที่ ก็ใช้วิธีการที่ทำให้ฝ่ายไทยปลอดภัย ถ้าเราไม่มีวิธีการที่ดี มันคงไม่สามารถควบคุมพื้นที่ได้จนถึงปัจจุบัน และเมื่อควบคุมพื้นที่ได้แล้วก็ยังคงสถาปนาความแข็งแรงมากขึ้น จนถึงวันนี้ก็ยังไม่ได้ทำให้ฝ่ายกัมพูชาตีโต้ตอบกลับมาได้ เป็นสิ่งที่ชัดเจนยืนยันได้มากกว่าที่ตนอธิบายด้วยซ้ำ
กองทัพบก โต้กัมพูชาบิดเบือน ลดทอนความน่าเชื่อถือของไทย กรณีใช้กระสุนคลัสเตอร์
พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ชี้แจงกรณีกระทรวงสารสนเทศกัมพูชา เผยแพร่ภาพวัตถุระเบิด และถ้อยแถลงของ นายลี ทุจ รองผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดกัมพูชา CMAA โดยอ้างไทยใช้กระสุนปืนใหญ่แบบคลัสเตอร์ M-46 ว่า แท้จริงแล้วเป็นกระสุนปืนใหญ่แบบทวิประสงค์ที่ใช้ต่อเป้าหมายทางทหาร เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการทำลายเท่านั้น
เมื่อกระสุนหลักกระทบเป้าหมาย กระสุนย่อยที่บรรจุอยู่ภายในจะทำการระเบิดต่อเนื่องในทันที ซึ่งกระสุนดังกล่าว ไม่ใช่ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล (anti-personnel landmines) และมิได้มีลักษณะเป็นอาวุธดักทำร้ายพลเรือนแต่อย่างใด อีกทั้งไม่มีผลตกค้างในระยะยาวต่อพลเรือน การกล่าวอ้างของกัมพูชาที่ระเบิดดังกล่าวจะตกค้างในพื้นที่ จนเป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม และเด็กกัมพูชา ถือว่าบิดเบือนข้อเท็จจริง โดยมีเจตนามุ่งกล่าวหาและลดทอนความน่าเชื่อถือของฝ่ายไทย
โฆษกกองทัพบก ยืนยันว่า ปฏิบัติการทางทหารของฝ่ายไทยเป็นไปตามหลักกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศอย่างเคร่งครัด โดยยึดหลัก “ความจำเป็นทางทหาร” และ “ความได้สัดส่วน” ใช้อาวุธเพื่อโจมตีเฉพาะเป้าหมายทางทหารเท่านั้น
ทั้งนี้ ประเด็นสำคัญทั้งประเทศไทยและกัมพูชา มิได้เป็นภาคีของอนุสัญญาการห้ามใช้กระสุนคลัสเตอร์ (Convention on Cluster Munitions – CCM) ซึ่งระบุว่า ห้ามภาคีใช้งาน ผลิต หรือสะสมอาวุธชนิดนี้ ดังนั้นจึงไม่มีผลผูกพันตามอนุสัญญาฉบับดังกล่าว
กองทัพบกขอเรียกร้องให้ประชาคมโลกและองค์กรระหว่างประเทศพิจารณาข้อเท็จจริงอย่างรอบด้าน และตระหนักถึงพฤติกรรมการใช้อาวุธและการปฏิบัติทางทหารของฝ่ายกัมพูชา ที่ยังคงมีการใช้อาวุธยิงสนับสนุน เช่น ระบบ BM-21 อาวุธปืน ทุ่นระเบิด PMN-2
รวมถึงการดัดแปลงลูกกระสุนและระเบิดแสวงเครื่องจำนวนมาก ยิงเข้ามาในดินแดนประเทศไทยอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน ซึ่งส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของกำลังพลและประชาชนฝ่ายไทยมาโดยตลอด ทั้งนี้ กองทัพบกยังคงยึดมั่นในการใช้กำลังอย่างรับผิดชอบ ภายใต้กรอบกฎหมายระหว่างประเทศ และพร้อมชี้แจงข้อเท็จจริงด้วยความโปร่งใส เพื่อปกป้องอธิปไตยและความมั่นคงของประเทศอย่างถึงที่สุด
ทร. ยัน กำลังพล นย.เหยียบทุ่นระเบิดบ้าน สามหลัง จ.ตราด ปลอดภัยแล้ว ย้ำเดินหน้าสถาปนาพื้นที่เสริมความมั่นคงต่อเนื่อง
เรือโท หญิง นภัสกร ทิพย์โส ผู้ช่วยโฆษกกองทัพ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีหน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธินตราด (ฉก.นย.ตราด) ของกองทัพเรือ เหยียบทุ่นระเบิดที่ทหารกัมพูชาฝังไว้ในพื้นที่บ้านสามหลัง บ้านหนองรี ต.ชำราก อ.เมืองจ.ตราด ว่า ยืนยัน กำลังพลของ นย.ที่เข้าควบคุมพื้นที่ และเหยียบกับระเบิดนั้น ขณะนี้ก็ได้รับการรักษา และเรายังคงดำเนินการสถาปนาพื้นที่เพื่อให้มีความมั่นคงต่อไปทุกภาคส่วน