
ใครที่ยังอ่านเกม “บิ๊กป้อม” ไม่ออก ต้องย้อนไปอ่าน “จดหมายเปิดใจ” รวมถึงกลับไปฟังคำชี้แจงในสภาฯ อีกรอบ ซึ่งจดหมายเปิดใจ ถูกทำขึ้นหลังจาก “บิ๊กป้อม” แยกทางกับ “บิ๊กตู่” หลังตัดสินใจไปร่วมงานการเมืองกับ “รวมไทยสร้างชาติ” และเปิดตัวเป็นสมาชิกเรียบร้อย
เพจเฟซบุ๊ก “พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ” ซึ่งเป็นเพจของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ไว้ใช้โพสต์ความเคลื่อนไหวและการปฏิบัติภารกิจของ “บิ๊กป้อม” โพสต์เป็นจดหมายเปิดใจ
สาระสำคัญที่อยากจะยกให้เห็นก็คือ การบอกว่า คสช. เป็นฝ่ายทำรัฐประหาร ไม่เกี่ยวกับ “บิ๊กป้อม” เพราะเกษียณราชการไปนานแล้ว ยิ่งกว่านั้นการสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ ก็เป็นไปตามความประสงค์ของ พล.อ.ประยุทธ์
“เป็นที่ทราบกันดีว่า เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองไทยครั้งใหญ่ หลังการรัฐประหารโดย คสช. เมื่อ 22 พ.ค.57 ด้วยความจำเป็นของกองทัพภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. ในขณะนั้น ต้องออกจากกรมกองมา ยุติวิกฤตการณ์ของบ้านเมืองที่ก่อตัวมานานนับปี จนสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจ ชื่อเสียงประเทศ และบ่อนทำลายความมั่นคงของชาติ
ขณะนั้นผมเกษียณอายุราชการจากตำแหน่ง ผบ.ทบ. ไปตั้งแต่ พ.ศ. 2548 จึงทำได้เพียงเฝ้าติดตามสถานการณ์ด้วยความเป็นห่วง เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จัดตั้งรัฐบาลเพื่อปฏิรูปบ้านเมืองและจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ผมก็ได้ตอบรับเข้าร่วมรัฐบาลในตำแหน่งรองนายกฯ และ รมว.กลาโหม เพื่อหวังจะช่วยประคับประคองสถานการณ์ให้คืนสู่ภาวะปกติโดยเร็ว
ท่ามกลางเสียงเรียกร้องจากประชาชนให้รีบจัดการเลือกตั้งทั่วไป รัฐบาลในขณะนั้นก็ตระหนักดีถึงความต้องการของประชาชน และความชอบธรรมของรัฐบาลจากการเลือกตั้ง รวมไปถึงการยอมรับจากประชาคมโลก จึงเร่งผลักดันกระบวนการยกร่างรัฐธรรมนูญเพื่อเปลี่ยนผ่านสู่ระบอบประชาธิปไตยโดยเร็ว
เมื่อกระบวนการยกร่างรัฐธรรมนูญเสร็จสิ้น เตรียมพร้อมเข้าสู่การเลือกตั้งเพื่อคืนอำนาจให้ประชาชน พล.อ.ประยุทธ์ ก็แสดงความประสงค์จะทำงานการเมือง โดยอ้างว่าเพื่อสานต่อภารกิจที่ดำเนินการไว้ให้สำเร็จ ผมจึงตัดสินใจสนับสนุนให้มีการตั้งพรรคพลังประชารัฐ เพื่อสู้ศึกเลือกตั้งและเสนอชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ ให้กลับมาเป็นนายกฯ ตามที่เจ้าตัวปรารถนา”
ส่วนการชี้แจงในสภาฯ กรณีถูกพาดพิงมีส่วนร่วมรัฐประหาร “บิ๊กป้อม” พูดชัดว่า ตนไม่เกี่ยวคนที่ทำรัฐประหาร คือ พล.อ.ประยุทธ์ ตอนนั้นหลายคนอาจคิดว่า เป็นสไตล์การชี้แจงของ “บิ๊กป้อม” ที่ปัดข้อกล่าวหาให้พ้นตัวเท่านั้น ไม่คิดว่า วันนี้ “บิ๊กป้อม” จะซ่อนนัยสำคัญเอาไว้
สรุป “บิ๊กป้อม” ปัดตัวเอง ไม่เกี่ยวข้องกับ “รัฐประหาร” และไม่ได้ ร่วมรัฐประหารกับ “บิ๊กตู่” มาตั้งแต่ต้น นี่คือ การล้างภาพ “เผด็จการ” ก่อนก้าวสู่สนามเลือกตั้งครั้งหน้า ท่ามกลางกระแสสังคมไม่เอา “เผด็จการ”
ทั้งยังชัดเจนด้วยว่า การเมืองไม่เกี่ยวกับความเป็น “พี่น้อง” เพราะความเป็นพี่น้อง “ตลอดไป” อยู่แล้ว นั่นเท่ากับต่อไปนี้ ทั้ง “บิ๊กตู่” และ “บิ๊กป้อม” พร้อมช่วงชิง “ตำแหน่งนายกฯ” อย่างไม่ต้องสงสัย โดยให้ “ผลเลือกตั้ง” ครั้งหน้า และการโหวตเลือกนายกฯในรัฐสภาเป็นเครื่องตัดสิน
ดังนั้น ไม่แปลก ที่จะมีการชิงเกมกันตลอดเวลาของ “บิ๊กป้อม” กับ “บิ๊กตู่” ในการลงพื้นที่ ที่สื่อมวลชน พาดหัวข่าว “ปาดหน้า” หลายต่อหลายครั้ง ที่สำคัญ “พลังประชารัฐ” ชิงเปิดตัว “บิ๊กป้อม” เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี เพียงหนึ่งเดียวของพรรค
“วันนี้ต้องถือว่า พปชร. ก้าวนำในพื้นที่เสนอชื่อแคนดิเดตนายกฯ ก่อนทุกพรรค โดยเสนอเพียงชื่อเดียว ซึ่งพวกเราหมายมั่นปั้นมือกันทุกคน เราจะต้องร่วมแรงร่วมใจ หรือเอาใจบันดาลแรง ที่จะทำให้แคนดิเดตนายกฯ พปชร.ได้เป็นนายกฯคนที่ 30 และจากการที่เราเสนอจากการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว เราก็ได้เป็นนายกฯ คราวนี้เรามีความเชื่อมั่น 100% หรือ 1,000 % ก็ว่าได้...” วิรัช รัตนเศรษฐ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรค กล่าว
นอกจากนี้ “บิ๊กป้อม” ยังโชว์พลังดูด แคนดิเดตนายกฯ ก้าวข้ามความขัดแย้งปิดดีล” “อุตตม สาวนายน” หัวหน้าพรรคสร้างอนาคตไทย และ “สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์” เลขาธิการพรรค เรียบร้อย โดยมีข่าวว่า “อุตตม” จะเข้ามาช่วยดูยุทธศาสตร์เศรษฐกิจ และ “สนธิรัตน์” เข้ามาช่วยดูยุทธศาสตร์การเมืองให้กับ “พลังประชารัฐ” ถือ เป็นการกลับบ้านเก่าอีกครั้งของทั้งสองคน
รวมทั้งก่อนหน้านี้ ภาพ “ร.อ.ธรรมนัส” คุกเข่าบนเวทีมอบพวงมาลัย ให้ “บิ๊กป้อม เท่ากับว่า “บิ๊กป้อม” ได้ “มือการเมือง” ใจถึงพึ่งได้ กลับมา! อย่าลืมว่า มุ้งบ้านใหญ่ มุ้งอดีต ส.ส.พลังประชารัฐ ที่ยังอยู่กับพรรค ก็ไม่ธรรมดา หลายมุ้งการันตีฐานเสียงของตัวเองเป็นส่วนใหญ่ โดยแทบไม่ต้องหวังพึ่งนโยบายพรรค และกระแสพรรคมากนัก หลังจาก “บิ๊กตู่” แยกทางกับ “บิ๊กป้อม” ก็แทบไม่มีผลอะไร
นั่นแสดงให้เห็นว่าอย่างน้อยที่สุด “การันตี” ได้ค่อนข้างแน่นอนว่า จะได้ส.ส.ถึง 25 ที่นั่ง (5 % ตามรัฐธรรมนูญกำหนด) เพื่อมีสิทธิ์เสนอชื่อบุคคลที่จะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ให้รัฐสภาลงมติ
ความจริงเรื่องนี้ สำคัญต่อการจับขั้วจัดตั้งรัฐบาลหลังเลือกตั้งครั้งหน้าอย่างมาก เพราะบทเฉพาะกาลรัฐธรรมนูญ 2560 ยังบัญญัติเอาไว้เป็นปีสุดท้าย (5 ปี) ที่ให้ ส.ว.มีอำนาจเลือก “นายกรัฐมนตรี” ร่วมกับ ส.ส.
ดังนั้น ส.ว. 250 เสียง เทไปทางไหนอย่างเป็นกลุ่มเป็นก้อน คนนั้นก็มีโอกาสได้เป็นนายกรัฐมนตรี ทั้งนี้แม้แต่หัวหน้าพรรคที่ได้ที่นั่ง ส.ส.เข้ามาเป็นอันดับ 1 แต่ถ้ายังไม่เกิน 250 ที่นั่ง ก็ไม่แน่ว่า จะได้เป็นนายกรัฐมนตรี เพราะการโหวตเลือกบุคคลดำรงตำแหน่งนายกฯ ต้องใช้เสียงเกินครึ่งหนึ่งของสองสภา(รัฐสภา) ตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้นั่นเอง
ไม่แปลก ที่มีการประเมินเอาไว้ “สองกระแส” กระแสหนึ่ง ยกให้ “บิ๊กตู่” ยังมีโอกาสที่จะเป็นนายกฯ ถ้าผลเลือกตั้ง พรรครวมไทยสร้างชาติ ได้ที่นั่งเกิน 25 ที่นั่งขึ้นไป โดยหาแนวร่วมจากพรรคร่วมรัฐบาลอื่น บวกกับ ส.ว. ส่วนใหญ่ ที่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์?
กับอีกกระแส “บิ๊กป้อม” มีโอกาสสูงเช่นกัน เพราะมีการประเมินว่า ส.ว.จำนวนมากอยู่ในสายของ “บิ๊กปอม”? และการ “ล็อบบี้” ของทีม “บิ๊กป้อม” จะมัดใน ส.ว.ได้มากกว่า ประกอบกับ กระแส “บิ๊กตู่” อยู่ในตำแหน่งมานาน จึงต้องการเปลี่ยนนายกฯ คนใหม่ และที่สำคัญ “จุดขาย” ของ “บิ๊กป้อม” ที่ชูสโลแกน “ก้าวข้ามความขัดแย้ง” อาจทำให้หลายพรรคที่จะเข้าร่วมรัฐบาล อ้างความชอบธรรมกับประชาชนได้
ไม่เว้นแม้แต่ “เพื่อไทย” เพราะเงื่อนไข “เพื่อไทย” มีเรื่องเดียว คือ ต้องไม่มี “บิ๊กตู่” อยู่ในพรรค แม้ว่า พรรคเพื่อไทย จะประกาศออกมาก่อนการเลือกตั้ง ว่า จะไม่จับขั้วกับพรรคพลังประชารัฐ ก็ตาม แต่นั่น อาจเป็น “กลเกม” สู้ศึกเลือกตั้งมากกว่า ที่กลัวมีผลต่อการตัดสินใจของประชาชน เพราะ “เพื่อไทย” ชูสโลแกนชนะเลือกตั้งแบบ “แลนด์สไลด์” เป็นรัฐบาลของประชาชน พรรคเดียว ได้ที่นั่ง ส.ส.เกิน 250 ที่นั่ง และเชื่อว่า ถ้าได้ที่นั่งขนาดนี้ ส.ว.ก็มิอาจฝืนกระแสประชาชน
แต่ปัญหาคือ โอกาสที่พรรคเพื่อไทยจะชนะแบบถล่มทลาย ได้ที่นั่งเกิน 250 ที่นั่ง มีมากแค่ไหน? อย่างนี้ต้องยกให้ “กุนซือ” “บิ๊กป้อม” ได้ “เครดิต” เหมือนกัน เพราะถือว่า เตรียมตัวมาดีมาก ตั้งแต่ “สลัดคราบเผด็จการ” ที่กระแสคนรุ่นใหม่ ไม่ต้องการให้ “สืบทอดอำนาจ”
กระทั่ง สโลแกน “ก้าวข้ามความขัดแย้ง” ที่คนไทยเบื่อหน่ายความขัดแย้งทางการเมือง และอยากเห็นการแก้ปัญหาเศรษฐกิจปากท้อง และมุ่งมั่นพัฒนาประเทศมากกว่า จึงมีความ “ชอบธรรม” ที่จะจับขั้วจัดตั้งรัฐบาลได้กับทุกฝาย
สำหรับ “ตำแหน่งนายกฯ” ด้วย “ส.ว.” ในมือ จึงมี “พลังต่อรองสูง” โดยเฉพาะกับพรรคเพื่อไทย ที่เชื่อว่าจะชนะเลือกตั้งเป็นอับดับ 1 (ผลสำรวจ) แน่นอน แต่ไม่แลนด์สไลด์ ? นี่คือการเมืองไทยในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่น่าจับตามอง