svasdssvasds
เนชั่นทีวี

เจาะประเด็นร้อน

ส่องท่าที"ไทย"พร้อมรับสถานการณ์ "จีนเปิดประเทศ"หลังโควิดผ่อนคลาย

04 มกราคม 2566
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

ความปลอดภัยของประชาชน ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ผลลัพธ์สุทธิทางเศรษฐกิจ คือปัจจัยหลักของการตัดสินใจนโยบายโควิด มกราคม 2023 ติดตามในเจาะประเด็น โดย "กฤษฎา บุญเรือง"

กลุ่มประเทศประชาคมยุโรปนัดประชุมวันที่ 4 มกราคม เตรียมรับมือกับสถานการณ์ผู้เดินทางจากจีน คงจะประกาศนโยบายวันนั้นหรือวันรุ่งขึ้น เพื่อแสดงถึงความสามัคคีในกลุ่ม

 

ทั้งนี้เมื่อวันที่ 29 ธันวาคมที่ผ่านมา มติส่วนใหญ่ของอียู เสนอให้ตรวจหาเชื้อผู้โดยสารขาเข้า  ซึ่งถือพาสปอร์ตของชาติใดก็ตาม ที่มาจากจีน 

 

ฝรั่งเศส อิตาลีและสเปน ประกาศไปล่วงหน้าแล้วว่า ผู้โดยสารที่มากับสายการบินซึ่งต้นทางมาจากจีนนั้น จะต้องแสดงผลว่าไม่ติดเชื้อโควิดภายใน 48 ชั่วโมงก่อนขึ้นเครื่อง สามประเทศเหล่านี้พยายามล็อบบี้ให้ประชาคมยุโรปใช้นโยบายนี้

สหรัฐอเมริกาจะเริ่มมาตรการเข้มงวดตั้งแต่วันที่ 5 มกราคม ให้ผู้โดยสารก่อนขึ้นเครื่องบินจากจีนแผ่นดินใหญ่ ฮ่องกงและมาเก๊า หากปลายทางคือสหรัฐอเมริกา ให้แสดงหลักฐานว่าไม่ติดเชื้อหรือเคยติดแต่รักษาแล้ว

 

อังกฤษเดิมแถลงว่าจะใช้นโยบายเช่นเดียวกับอเมริกา แต่วันนี้มีข่าวว่าจะเปลี่ยนนโยบายยกเลิกการตรวจก่อนขึ้นเครื่องบินและขาเข้า จะปฏิบัติกับชาวจีนเหมือนกับทุกสัญชาติ

 

รัฐบาลออสเตรเลียประกาศว่าจะใช้นโยบายเข้มงวดกับผู้โดยสารจากจีน โดยต้องการผลตรวจเชื้อก่อนขึ้นเครื่องบิน ซึ่งผู้นำทางการเมืองออกมายอมรับว่านโยบายนี้เป็น "การกันไว้ดีกว่าแก้" ทั้งที่เจ้าหน้าที่ระดับสูงของกระทรวงสาธารณสุขออสเตรเลีย ได้ประสานงานกับนิวซีแลนด์วิเคราะห์เรื่องนี้โดยละเอียด และเสนอให้รัฐบาลผ่อนปรน ไม่ต้องตรวจผู้โดยสารจากจีน ฮ่องกงและมาเก๊า แตกต่างจากที่อื่น 

ส่วน Morocco ใช้นโยบายเข้มงวดที่สุด โดยที่ไม่ยินยอมให้ผู้โดยสารที่เดินทางออกมาจากจีนเข้าMoroccoไม่ ว่าจะเป็นผู้ถือพาสปอร์ตชาติใดก็ตาม

 

ญี่ปุ่น ไต้หวัน อินเดีย ประกาศไปล่วงหน้าแล้วว่าจะเข้มงวดตรวจเชื้อผู้โดยสารจากจีนทุกคน

 

ทางการจีนเองถือโอกาสขอบคุณประเทศที่ยังไม่มีนโยบายเข้มงวดกับผู้เดินทางจากจีน และเน้นเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ การไม่เลือกปฏิบัติ และยืนยันว่าจะให้ความร่วมมือกับนานาประเทศ เปิดเผยข้อมูล และหาทางร่วมมือควบคุมโควิด และขณะเดียวกันก็เตือนว่าจะตอบโต้ประเทศ หรือกลุ่มประเทศ ที่เลือกปฏิบัติโดยไม่ยุติธรรมต่อชาวจีน และย้ำว่าทางการจีนได้ฉีดวัคซีนให้ประชาชนแล้วกว่า 3,400 ล้านโดส

 

แต่ถึงวันนี้ความเชื่อถือจากสื่อมวลชนทางตะวันตกและภาครัฐบาลส่วนใหญ่ ก็ยังระแวงว่าข้อมูลที่ทางการของจีนแบ่งปันนั้น ยังไม่สะท้อนความเป็นจริง เช่นรายงานตัวเลขของผู้เสียชีวิตต่ำเกินไป และถึงแม้ว่าผู้เชี่ยวชาญในจีน นักวิชาการในมหาวิทยาลัย และทางการแพทย์ แถลงว่าคนส่วนใหญ่ในจีนติดเชื้อแล้ว เป็นสายพันธุ์โอไมครอนที่ติดง่าย และบางเมืองติดเชื้อนั้นแล้วกว่า 70 ถึง 80% แต่อันตรายถึงขั้นเสียชีวิตนั้นไม่เกินความสามารถของจีนที่จะรับมือ

 

ชาวจีนเป็นจำนวนมากยังไม่เชื่อมั่น และยังสับสนกับการตัดสินใจว่า จะทำอย่างไรต่อไป รัฐบาลจีนเองก็ประกาศว่าหากสถานการณ์เปลี่ยนภายในอีกหลายสัปดาห์หน้า นโยบายก็อาจจะเปลี่ยน เทศกาลตรุษจีนปลายเดือนมกราคมนี้เป็นสิ่งที่ยังประมาทไม่ได้ เพราะจะมีการเดินทางภายในจีนเป็นจำนวนมากที่สุดในรอบปี สิ่งที่รัฐบาลกำลังจับตามองคือการติดเชื้อจากเมืองใหญ่จะแพร่หลายไปในชนบท

 

คาดว่าชาวจีนที่จะเริ่มออกเดินทางในเดือนมกราคมไปต่างประเทศ ทั้งธุรกิจการท่องเที่ยวและการศึกษานั้น จะเป็นการตัดสินใจส่วนบุคคล ที่ต้องชั่งใจด้วยเหตุและผลหลายประการ ระยะสองสามเดือนข้างหน้านี้ จำนวนผู้เดินทางเข้าออกจีนนั้นยังไม่สามารถจะประเมินได้ แต่คงไม่ใช่จำนวนมากเหมือนก่อนโควิด

 

การที่รัฐบาลไทยจะประชุมเรื่องนี้วันที่ 5 มกราคมนั้น เข้าใจว่าเป็นการมองทิศทางและดูตัวอย่างจากหลายแห่ง รวมทั้งยุโรปอเมริกา และอีกกว่าสิบประเทศ ซึ่งประกาศล่วงหน้าไปแล้วว่านโยบายเบื้องต้นจะเป็นอย่างไร 

 

รัฐบาลไทยเองก็คงและควรที่จะประสานงานใกล้ชิดกับกลุ่มประเทศในอาเซียน และหาข้อตกลงสรุปนโยบายร่วมกันเป็นหนึ่งเดียว และหวังว่าคงมีการประสานงานกันเป็นกรณีฉุกเฉินแล้ว

 

ความสัมพันธ์ระหว่างอาเซียนและจีนนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญและละเอียดอ่อน ปีค.ศ. 2021 ปริมาณการซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้าระหว่างอาเซียนและจีนทำสถิติสูงถึงกว่า 669,000 ล้าน เหรียญสหรัฐฯ ซึ่งทำให้จีนเป็นคู่ค้าใหญ่สุดของอาเซียนต่อเนื่องกันเป็นเวลา 13 ปี 

 

การลงทุน FDI จากจีนในอาเซียนขึ้นมาถึง 13,600 ล้านเหรียญในปีค.ศ. 2021 เทียบกับปีค.ศ. 2020 ที่ 7,000 ล้านเหรียญ 

 

อาเซียนลงทุนในจีนปีค.ศ. 2021 ที่ 10,600 ล้านเหรียญ ซึ่งขยับขึ้นจากปี 2020 ที่ 7,950 ล้านเหรียญ

 

ประเทศในอาเซียนก็คงมีเสียงเรียกร้องจากประชาชนให้ดำเนินนโยบาย ทั้งเข้มงวดและผ่อนปรน 

 

บ้างอยากให้รัฐบาลป้องกันความปลอดภัยของสุขภาพและชีวิต เพราะความกลัวการระบาดจากจีนอีกครั้งหนึ่ง เมื่อต้นปีค.ศ. 2020 เป็นบทเรียนแล้ว ฉะนั้นต้นปีค.ศ. 2023 ก็ไม่ควรจะพลาดพลั้งอีก

 

ฝ่ายที่เห็นว่าควรผ่อนปรนนั้น ยึดหลักว่ามีโอกาสได้เตรียมตัวแล้วเป็นเวลาสามปี ทั้งการฉีดวัคซีนและการปรับปรุงระบบการรักษาพยาบาลภายในประเทศของตน หากมีปัญหาก็คงจะรับมือไหว ไม่ควรตื่นตระหนกจนเกินควร และใช้ความกลัวทำให้เสียความสัมพันธ์กับประเทศมหาอำนาจที่มีคุณมากกว่าโทษ โดยเฉพาะโอกาสฟื้นฟูทางเศรษฐกิจซึ่งประชาชนลำบากมาเป็นเวลาหลายปี

 

ตัวเลขการค้าในช่วงโควิดปี 2020 และ 2021 นั้นย้ำเตือนถึงความสำคัญและพึ่งพากันระหว่างอาเซียนและจีน "โควิดกระเทือนจริง แต่เศรษฐกิจไม่หยุดชะงัก"

 

ผมเห็นด้วยกับคำประกาศร้องขอและความกดดันย้ำเตือนหลายครั้ง จากองค์การอนามัยโลก WHO ต่อผู้นำจีนโดยตรง ให้แสดงความโปร่งใสในเรื่องนี้อย่างจริงจัง 

 

อยากเห็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงในรัฐบาลจีนประสานงานอย่างมีประสิทธิภาพกับผู้บริหารระดับท้องถิ่นในจังหวัดต่างๆ เปิดเผยสถิติการติดเชื้อการรักษาพยาบาลและการเสียชีวิตโดยชัดเจน และสร้างบรรยากาศให้เจ้าหน้าที่ระดับท้องถิ่นกล้าเสนอรายงานโดยไม่กลัวความผิด 

 

การที่เจ้าหน้าที่รัฐบาลกลางในปักกิ่งประกาศว่า ในเดือนธันวาคมนั้น การติดเชื้อวันละ 4,000 คนและมีผู้เสียชีวิตไม่เกิน 10คน ขัดแย้งกับข้อมูลออนไลน์ที่ประชาชนแลกเปลี่ยนกัน ภาพถ่ายและวิดีโอจากแหล่งเผาศพและโรงพยาบาลต่างๆ รวมทั้งการประกาศตัวเลขการติดเชื้อ เช่นในจังหวัดเสฉวนทางการท้องถิ่นพบว่าติดเชื้อแล้วกว่า 80% (ประชากรในจังหวัดนี้มีประมาณ 100ล้านคน หมายถึงการติดเชื้อของ 80ล้านคน ) 

 

Airfinity http://airfinity.com เป็นบริษัทที่ศึกษาและรวบรวมข้อมูลเชิงลึกด้านชีวศาสตร์ชั้นนำ เป็นที่ยอมรับขององค์การอนามัยโลก รัฐบาลอังกฤษและกลุ่มประชาคมยุโรป ระบุว่าตัวเลขของรัฐบาลจีนนั้นต่ำกว่าความเป็นจริง และประเมินว่าผู้เสียชีวิตจริงจากโควิดในจีนในเดือนธันวาคมนั้นน่าจะประมาณ 100,000 คน และตัวเลขของการตายประมาณ 5,000 กว่าคนตั้งแต่เริ่มโควิดมาสามปีนั้น ขัดแย้งกับความเป็นจริงมาก 

 

อุตสาหกรรมหลายอย่างในไทยโดยเฉพาะการท่องเที่ยวกำลังเตรียมตัวรับนักท่องเที่ยวจากจีน ซึ่งคาดว่าในปีค.ศ. 2023 จะประมาณ 3-5 ล้านคน จากจำนวน 20 ล้านคนที่ไทยเตรียมตัวรับจากทุกประเทศ (ก่อนโควิดในปี 2019 นั้น นักท่องเที่ยวจากจีนต่อปีประมาณ 11ล้านคน) 

 

ปี 2019 สินค้าส่งออกจากไทยไปจีนนั้นอยู่ที่ 12% ของสินค้าส่งออกทั้งหมด สินค้าที่ส่งออกไปจีนมากที่สุดคือผลไม้สด ผลไม้แช่แข็ง ผลไม้ตากแห้ง ผลิตภัณฑ์ยางพารา เมล็ดพลาสติก มันสำปะหลัง และชิ้นส่วนของคอมพิวเตอร์ต่างๆ

 

อุตสาหกรรมการแพทย์พยาบาลของไทย อาจจะได้รับประโยชน์อย่างมหาศาลจากการเปิดประเทศของจีนครั้งนี้ เนื่องจากจะมีชาวจีนหลายคนที่ต้องเดินทางออกมารักษาพยาบาลในต่างประเทศ หลังจากที่ต้องเลื่อนการรักษาพยาบาลที่ไม่ฉุกเฉินหรือการผ่าตัดใหญ่ต่างๆตลอดสามปีที่ผ่านมา ขณะเดียวกันเตียงในห้องฉุกเฉินในจีนยังขาดแคลนมาก

 

โรค Long Covid ซึ่งหมายถึงผู้ป่วยที่ยังมีอาการสืบเนื่อง ไม่หายสนิทจากการติดเชื้อโควิดที่ผ่านมา และมีอวัยวะบางอย่างในร่างกายยังมีปัญหาอยู่ ไม่เฉพาะเพียงชาวต่างชาติอื่นๆเท่านั้น แต่จะมีชาวจีนจำนวนมากที่อาจจะพิจารณาการเดินทางมารักษา Long Covid ในประเทศไทย

 

ชาวจีนเพิ่งได้รับอนุญาตให้จองและไปรับการฉีดวัคซีน mRNA (Pfizer-BioNTech) ที่ฮ่องกงหรือมาเก๊า โดยบริษัท Shanghai Fosun Pharmaceutical Group ประสานงาน ในอัตราการฉีดต่อโดส 170 เหรียญ (หากนักท่องเที่ยวจีน 3-5 ล้านคน ถือโอกาสฉีด nRNA ที่เมืองไทย..)

 

นโยบายของรัฐบาลไทยรับมือกับการเดินทางระหว่างไทยและจีนเริ่มตั้งแต่วันที่ 8 มกราคมนี้จะออกมาเป็นอย่างไร ก็คงเป็นเพียงแผนเบื้องต้น และคงสอดคล้องกับนโยบายของทุกประเทศในอาเซียน 

 

และต้องมีแผนสำรองอื่นๆเตรียมไว้ เพื่อรับสถานการณ์จริง หากสิ่งที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น 

 

การพร้อมปรับตัว เผชิญหน้ากับความจริง ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ตัดสินใจเพื่อผลประโยชน์ส่วนรวมนั้น เป็นสิ่งที่ผู้บริหารประเทศ ผู้แทนทางการเมืองและข้าราชการประจำจะต้องทำหน้าที่ให้ดีที่สุด 

 

สุขภาพและชีวิตมีค่า ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศสำคัญ และเศรษฐกิจอยู่รอดนั้นเป็นสิ่งจำเป็น 

 

ชาวไทยทุกคนต้องช่วยกันดูแลสุขภาพอนามัย ของเจ้าบ้านและผู้มาเยือน วิพากษ์วิจารณ์พอเหมาะควร และเคารพซึ่งความคิดเห็นระหว่างกัน โชคดีปีใหม่ครับ

logoline