
19 กุมภาพันธ์ 2568 นายตา และนางสกุล รุ่งนิยม สองตายายพิการทางการเคลื่อนไหว ชาวบ้านจิกใหญ่ ต.คูเมือง อ.คูเมือง จ.บุรีรัมย์ พร้อมลูกหลาน ได้ร้องขอความช่วยเหลือกับ นายภัทรพงศ์ ศุกภักษร หรือ "ทนายอั๋นบุรีรัมย์" โดยอ้างว่าได้ถูก อบต.และเจ้าหน้าที่รัฐหลายหน่วยงาน พยายามกดดันจะเข้าไปรังวัดสอบเขตในที่ดินที่ครอบครองทำกินอย่างถูกต้องมานานกว่า 40 ปี เพื่อจะทำเป็นถนนสัญจร ทั้งที่ดินดังกล่าวเป็นที่ส่วนบุคคล ส่วนที่ดินที่อยู่ใกล้กันก็มีทางเข้า-ออกที่เชื่อมกับถนนลาดยางได้อยู่แล้ว ตายาย และลูกหลาน ที่ออกมาร้องขอความเป็นธรรม จึงตั้งข้อสังเกตว่าการที่เจ้าหน้าที่พยายามจะมารังวัดสอบเขตที่ดินที่ครอบครัวครอบครองทำกินอย่างถูกต้องนั้น น่าจะเอื้อประโยชน์ให้กับ ผอ.สถานศึกษาแห่งหนึ่ง หรือไม่
เนื่องจากเมื่อประมาณ 3 - 4 ปีก่อน มี ผอ.ท่านหนึ่ง มาซื้อดินของชาวบ้านซึ่งอยู่ใกล้เคียงกันแล้วก่อสร้างบ้าน หลังจากนั้นก็มีเจ้าหน้าที่รัฐพยายามจะมารังวัดเพื่อทำถนน พร้อมกับตั้งข้อสังเกตว่าก่อนที่ ผอ.คนดังกล่าวจะมาซื้อที่ดินก็ต้องเห็นที่ดินจริง และต้องรู้อยู่แล้วว่ามีทางเข้า-ออกยังไง ซึ่งปัจจุบันก็มีทางออกอีกทางอยู่แล้ว แต่ทำไมยังไปกดดันให้เจ้าหน้าที่มารังวัดสอบเขตเพื่อจะทำถนนอีก สองตายายเกรงว่าจะไม่ได้รับความเป็นธรรมจึงได้ร้องเรียนไปยัง ทนายอั๋น เพื่อขอความช่วยเหลือ
นายตา เล่าว่า ปกติภรรยามีที่นาอยู่แล้ว 31 ไร่ ซึ่งเป็นโฉนดถูกต้อง แต่ไม่ทางเข้า-ออก จากนั้นปี 2524 ตาจึงไปกู้ยืมเงินเพื่อมาซื้อที่ดินของนายแขก คนในหมู่บ้านซึ่งมีที่ติดกันเนื้อที่ประมาณ 2 ไร่ในราคา 80,000 บาท แต่ยังไม่ได้ไปยื่นเรื่องออกโฉนด แต่ก็ครอบครองทำกินมาตลอดกว่า 40 ปี และมีการไถปรับพื้นที่บางส่วนทำเป็นถนนเข้า-ออกที่นาเชื่อมกับถนนลาดยาง เพื่อให้เข้า-ออกนาได้อย่างสะดวก โดยเป็นทางส่วนบุคคลที่ปรับจากที่นาไม่ได้อนุญาตให้ชาวบ้านคนอื่นสัญจรร่วมด้วยเลย เพราะที่ดินของคนอื่นก็มีทางเข้าออกของเขาอยู่แล้ว จึงตั้งข้อสังเกตว่าพอมี ผอ.มาซื้อที่ดินใกล้กันและสร้างบ้าน ก็มีเจ้าหน้าที่พยายามจะมารังวัดสอบเขตในที่ดินของตนเอง โดยอ้างว่าเคยเป็นทางเกวียนเดิม หรือทางสาธารณะ
"ตนครอบครองทำกินบนที่ดินนี้มากว่า 40 ปี แต่ทำไมเพิ่งจะมาทำ ก็มีเจ้าหน้าที่มาหลายรอบ ทั้งยังข่มขู่ว่า หากไม่ยินยอมให้รังวัดสอบเขตจะจับติดคุก ก็อยากจะขอความเป็นธรรมด้วย" นายตา กล่าว
ด้านทนายอั๋น บอกว่า ตามหลักฐานที่ทางองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ที่จะทำถนนในพื้นที่ใดก็แล้วแต่ เบื้องต้นต้องไปตรวจสอบดูก่อนว่าเป็นที่สาธารณะหรือไม่อย่างไร แต่หากพื้นที่ใดเป็นที่ดินที่โฉนด หรือเอกสารสิทธิ์ถูกต้องตามกฎหมาย ไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะทำ แต่กรณีของสองตายาย เห็นว่าเจ้าหน้าที่รัฐพยายามจะเข้ามารังวัดหลายรอบ ทั้งที่สองตายายยืนยันว่าครอบครองทำกินมากว่า 40 ปี แต่หากหน่วยงานพิสูจน์ในภายหลังว่าบริเวณดังกล่าวเป็นทางสาธารณะเดิมจริง และหากจะมีโครงการก่อสร้างถนนหินคลุกหรือคอนกรีต แต่สภาพความเป็นจริงไม่มีบ้านเรือนประชาชน คนที่จะได้รับประโยชน์มีเพียงคนเดียว ซึ่งเป็น ผอ.อาชีวะหลังเดียว ก็ส่อให้เห็นว่า อบต.มีนอกมีในกับบุคคลดังกล่าวหรือไม่อย่างไร ก็เป็นประเด็นที่ต้องตั้งคำถามว่า สมเหตุสมผลหรือไม่
จากนั้น "ทนายอั๋น" ได้พาตายายที่ร้องเรียนเดินทางไปที่องค์การบริหารส่วนตำบลคูเมือง เพื่อสอบถามข้อมูลข้อเท็จจริง ซึ่งก็มีนิติกร และหัวหน้าช่าง อบต. นำเอกสารที่ระบุว่าเป็นภาพถ่ายทางอากาศพื้นที่ดังกล่าวมาชี้แจง ว่าบริเวณดังกล่าวมีทางสาธารณะประโยชน์เดิมอยู่แล้ว
โดยนายสุวรรณ เจริญนาม นิติกรชำนาญการ อบต.คูเมือง ชี้แจงว่า มีประชาชนไปร้องเรียนศูนย์ดำรงธรรมอำเภอว่าไม่สามารถสัญจรเข้า-ออกที่ของตัวเองได้ ซึ่งตามระวางแผนที่มีทางสาธารณะอยู่ ทาง อบต.ในฐานะหน่วยงานที่ดูแลรับผิดชอบจึงตั้งงบประมาณ เพื่อทำการรังวัดสอบเขตให้เกิดความชัดเจนว่ามีทางสาธารณะจริงหรือไม่ เพื่อจะได้ทำเส้นทางให้ชาวบ้านสัญจร ปัจจุบันอยู่ระหว่างการดำเนินการของที่ดินอำเภอคูเมือง แต่ยังติดปัญหาไม่สามารถรังวัดสอบเขตได้เนื่องจากมีชาวบ้านบางรายคัดค้าน ยืนยันการดำเนินการของเจ้าหน้าที่เป็นการทำตามหน้าที่ ไม่ได้เอื้อประโยชน์ให้กับบุคคลใด พร้อมให้ความเป็นธรรมทุกฝ่าย ส่วนกรณีนี้ก็จะแจ้งไปทางอำเภอเพื่อพิจารณาดำเนินการต่อไป