18 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 10.00 น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่ง ได้โพสต์ข้อความ พร้อมรูปภาพ กรณีหญิงอายุ 54 ปี มีอาชีพเป็นแม่บ้านอยู่ที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งใน อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี ถูกเพื่อนร่วมงานชายคือนายปิติ (สงวนนามสกุล) อายุ 40 ปี ตำแหน่ง พนักงานเวรเปล ผลักจากด้านหลังทำให้ล้มหัวฟาดฟื้นได้รับบาดเจ็บ หลังเกิดเหตุต้องออกจากงาน และยังไม่ได้รับการเยียวยาจากคู่กรณี อีกทั้งคนก่อเหตุยังทำงานตามปกติ ไม่ถูกลงโทษแต่อย่างใด ขณะที่ ผอ.โรงพยาบาล บอกว่า เรื่องทะเลาะวิวาทเป็นเรื่องส่วนตัว ไม่เกี่ยวกับโรงพยาบาล เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อช่วงเช้าวันที่ 21 มกราคม 2568 เวลาประมาณ 07.00 น. โดยหลังเกิดเหตุผู้เสียหายได้เข้าแจ้งความที่ สภ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี
นางน้ำผึ้ง (สงวนนามสกุล) อายุ 54 ปี แม่บ้าน รพ.พิมลราช เปิดเผยว่า เหตุการณ์ที่ถูกทำร้ายร่างกายเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 21 ม.ค.ที่ผ่านมา ช่วงเวลาประมาณ 7.30 น. โดยก่อนเกิดเหตุตนเห็นประตูห้องฉุกเฉินเปิดอยู่ จึงชะโงกหน้าเข้าไปดูเพราะคิดว่าจะเข้าไปทำความสะอาดได้ แต่ถูกคู่กรณีตะโกนพูดมาว่า อย่าเพิ่งเข้าไป ตนก็ตอบไปว่ายังไม่ได้เข้าไปแค่ชะโงกหน้าไปดูเฉยๆ จากนั้นตนก็เดินไปคุยกับแม่บ้านอีกคนที่ยืนอยู่ ตนก็ถามแม่บ้านอีกคนว่า เวรเปลคนนี้เป็นอะไรทำไมพูดจากับแม่บ้านแต่ละคนไม่ดีเลย ทำให้คู่กรณีเดินเข้ามาหาพร้อมกับกล่าวหาว่าตนไปยืนด่าเขา
เขาเดินมาตะคอกใส่ตนว่า "เดี๋ยวมึงเจอกู ไปไหนมึงโดนแน่ กูพร้อมออก" พร้อมกับเอาตัวเดินกระแทกใส่ตน ด้วยความโมโหที่ถูกข่มขู่ ตนจึงพูดสวนไปว่า "ถ้าอย่างนั้นก็เจอกับผัวตนได้ เพราะตนไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว" พอพูดจบตนก็เดินหันหลังกลับเพราะไม่อยากมีเรื่องต่อ คู่กรณีใช้มือผลักอย่างแรงจากข้างหลังอย่างแรงโดยทันตั้งตัว จึงทำให้ล้มทั้งยืน ศีรษะกระแทกกับพื้นอย่างแรง ซึ่งในตอนนั้นมีคนไข้นั่งรออยู่ยังตะโกนต่อว่าพนักงานเวรเปลชายคนนี้ว่า "ไปผลักป้าเขาล้มทำไม" ตอนนั้นตนยังคิดว่า ถ้าไม่มีคนอื่นอยู่ในเหตุการณ์ด้วย สภาพตนจะเป็นยังไง
นางน้ำผึ้ง กล่าวอีกว่า หลังเกิดเหตุได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ เบ้าตาขวา ชายโครง หัวเข่าและแขนขวา จากนั้นจึงไปแจ้งความที่ สภ.บางบัวทอง ตอนนี้ยังมีอาการปวดตามตัวและมึนหัวอยู่ตลอดเวลา โดยระหว่างที่เข้ารับการรักษาตัว คู่กรณีมาเยี่ยมและขอเจรจา โดยตนเรียกเงินค่าเยียวยาจำนวน 50,000 บาท แต่คู่กรณีอ้างว่าไม่มีเงิน แต่จะขอผ่อนชำระให้เป็นงวด งวดละ 5,000 บาท ทุก 15 วัน แต่ทางตนได้ขอให้คู่กรณีจ่ายค่าเยียวยางวดแรกก่อน 10,000 บาท โดยทำสัญญาตกลงกันต่อหน้าเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งคู่กรณีตกลงว่าจะจ่ายเงินงวดแรกในวันที่ 14 ก.พ.ที่ผ่านมา จำนวน 10,000 บาท แต่สุดท้ายคู่กรณีก็ผิดนัด ตนจึงตัดสินใจที่จะดำเนินคดีกับคู่กรณีให้ถึงที่สุด เพราะเขาไม่ทำตามสัญญา พูดเอาตัวรอดไปวันๆ แถมหลังเกิดเรื่องคู่กรณีกลับไม่ถูกพักงานหรือถูกไล่ออก
ขณะเดียวกันตนเองต้องนอนรักษาตัว โดยทาง ผอ.โรงพยาบาลอ้างว่าเป็นเหตุทะเลาะวิวาท เป็นเรื่องส่วนตัว แม้ตนจะไม่ใช่เจ้าหน้าที่ของทางโรงพยาบาล แต่ตนก็มาทำงานให้กับทางโรงพยาบาล น่าจะช่วยไกล่เกลี่ยปัญหาที่เกิดขึ้น ตอนนี้ไม่กล้าออกจากบ้าน เดินไปไหนก็อายคน อีกทั้งรอยแผลที่หางคิ้ว มีคนบอกว่าจะติดตัวไปจนตาย เลยเกิดอาการเครียดมาก ไม่ได้อยากได้เงินเยียวยา แต่อยากให้มารับผิดชอบ เรื่องแค่นึ้ทำไมต้องทำร้ายร่างกันถึงขนาดนี้ โดยหลังจากนี้จะดำเนินคดีให้ถึงที่สุด
นายอธิวัฒน์ สิริกังวาลวงศ์ ผู้ก่อตั้งเพจกล้าที่จะก้าว กล่าวว่า วันนี้ได้พาผู้เสียหายมาพบ ผกก.สภ.บางบัวทอง ซึ่งในส่วนของคดี จะต้องรอผลแพทย์ก่อน หลังจากนี้จะพาผู้เสียหายเข้าพบนายกองตรี ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงสาธารณสุข เพื่อติดตามผลแพทย์ เบื้องต้นทราบว่าพนักงานเวรเปลยังทำงานตามปกติอีกทั้งยังมีคำพเสียดสีผู้เสียหายอีก จึงอยากให้ท่านผู้ช่วยรัฐมนตรี ช่วยเร่งรัดติดตามเรื่องบทลงโทษกับพนักงานเวรเปลรายนี้ด้วย
ทางด้าน พ.ต.อ.พฤฒ จำรูญศาสตร์ ผกก.สภ.บางบัวทอง กล่าวว่า ตอนนี้คดีกำลังดำเนินการตามขั้นตอน โดยสอบปากคำและส่งผู้เสียทั้งไปตรวจร่างกายเรียบร้อยแล้ว คดีนี้เกิดขึ้นที่โรงพยาบาลพิมลราช เพื่อให้ความเป็นกลาง จึงส่งผลตรวจไปที่โรงพยาบาลบางบัวทอง ซึ่งก่อนหน้านี้คู่กรณีทั้งสองฝ่ายได้มีการเจรจาเรื่องการเยียวยากันนอกรอบ โดยฝ่ายคนก่อเหตุยินยอมชดใช้ค่าเยียวยาเป็นจำนวนเงิน 50,000 บาท แต่คดีนี้เป็นคดีที่ยอมความไม่ได้ เรื่องการเจราไม่เกี่ยวกับการดำเนินคดี ตอนนี้ตำรวจได้หลักฐานภาพกล้องวงจรปิดขณะเกิดเหตุจากทาง ผอ.โรงพยาบาลแล้ว หลังจากนี้ต้องรอผลตรวจจากแพทย์ประมาณ 45-60 วัน จากนั้นจึงจะแจ้งข้อกล่าวหาและส่งฟ้องตามขั้นตอนต่อไป
ต่อมา ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่ไปยัง รพ.ที่เกิดเหตุ พบกับ นพ.เอกวุฒิ ตั้งตรงไพโรจน์ ผอ.รพ.พิมลราช อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี เพื่อสอบถามข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น โดยนพ.เอกวุฒิ เปิดเผยว่า เบื้องต้นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในโรงพยาบาล ตนรู้สึกเสียใจที่มาเกิดเหตุทะเลาวิวาทในสถานที่ราชการแบบนี้ โดยตนได้สั่งลงโทษพนักงานเวรเปลชายคนดังกล่าวด้วยการตักเตือนเป็นลายลักษณ์อักษรตามระเบียบราชการ พร้อมกับสั่งย้ายให้พนักงานเวรเปลชายรายนี้ย้ายไปทำงานในแผนกอื่นแล้ว ซึ่งเป็นแผนกที่ไม่เกี่ยวข้องกับผู้คน พร้อมกับติดตามดูพฤติกรรมต่อไป
ทางโรงพยาบาลไม่ได้เข้าข้างใครหรือฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด ส่วนอาการของทางแม่บ้านที่ได้รับบาดเจ็บนั้น หลังเกิดเหตุทางโรงพยาบาลเองก็ดูแลรักษาอาการเป็นอย่างดี เพราะแม่บ้านรายนี้เองก็เป็นคนไข้ของทางโรงพยาบาลอยู่ก่อนแล้ว ทางโรงพยาบาลได้ตรวจดูอาการในเบื้องต้น จากนั้นจึงส่งตัวไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลบางบัวทอง ก่อนจะถูกส่งตัวกลับมาพักฟื้นต่อที่โรงพยาบาลพิมลราช เพื่อดูอาการอีกครั้งจนหายดี
นพ.เอกวุฒิ ผอ.รพ.พิมลราช กล่าวว่า ในวันที่เกิดเรื่อง หลังเกิดเหตุตนทราบเรื่องแล้ว จึงได้เรียกคู่กรณีทั้งสองฝ่ายมาสอบถามข้อเท็จจริงในทันที ซึ่งทางพนักงานเวรเปลชายรายนี้ก็ยอมรับว่า เขาเกิดบันดาลโทสะจากการโต้เถียงกันกับแม่บ้านทำความสะอาดคู่กรณีจริง ในเรื่องที่แม่บ้านจะเข้าไปทำความสะอาดในห้องฉุกเฉิน แต่เกิดการสื่อสารกันไม่เข้าใจ เกิดเป็นการโต้เถียงกัน ทำให้ทางพนักงานเวรเปลรายนี้บันดาลโทสะไปทำร้ายร่างกายด้วยการผลักแม่บ้าน ซึ่งในวันที่ตนเรียกทั้งสองฝ่ายมาสอบถาม ทางพนักงานเวรเปลชายก็ได้ทำการขอโทษแม่บ้านต่อหน้าตนไปแล้ว
นอกจากนี้ ตนยังทราบอีกว่าหลังจากนั้นทางพนักงานเวรเปลชายยังได้ไปเยี่ยม พร้อมกับนำกระเช้าดอกไม้ไปขอโทษแม่บ้านที่โรงพยาบาลด้วย ไม่ได้มีพฤติกรรมตามราวี หรือข่มขู่ใดๆอีก ซึ่งที่ผ่านมาทางพนักงานเวรเปลชายรายนี้เองก็ไม่เคยมีปัญหาทะเลาะกับใครในโรงพยาบาลมาก่อน เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นความผิดครั้งแรกของเขาตั้งแต่มาทำงานกับทางโรงพยาบาล ทางโรงพยาบาลจึงได้ลงโทษในเบื้องต้นด้วยการตักเตือนและย้ายงานที่ทำ ไม่ใช่ว่าโรงพยาบาลไม่สั่งลงโทษ หรือเข้าข้างพนักงานเวรเปลชาย
ปัญหาที่เกิดขึ้นมาจากการมีปากเสียงกันแล้วพูดจาไม่ดีใส่กันจนบานปลายกลายเป็นเหตุทะเลาะวิวาทกัน เพราะเกิดบันดาลโทสะ เรื่องความคืบหน้าในคดีนั้น ทางโรงพยาบาลได้ให้ความร่วมมือกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นอย่างดี โดยได้มอบภาพจากกล้องวงจรปิดตอนเกิดเหตุกับทางพนักงานสอบสวนไปแล้ว ขั้นตอนที่เหลือจึงเป็นเรื่องของพนักงานสอบสวนกับคู่กรณีทั้งสองฝ่าย เพราะทางโรงพยาบาลได้ดำเนินการตามขั้นตอนของโรงพยาบาลไปแล้ว