ชาวบ้านโคราช ออกหาเห็ดตับเต่า กิน-ขาย สร้างรายได้ดีรับหน้าฝน

7 มิถุนายน 2566 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ชาวบ้านหนองโบสถ์บ่อลิง หมู่ที่ 16 ต.โคกกระชาย อ.ครบุรี จ.นครราชสีมา พากันออกไปหาเห็ดป่าในป่าชุมชนใกล้หมู่บ้าน เพื่อนำกลับไปประกอบอาหารเลี้ยงครอบครัว หลังจากช่วงนี้มีฝนตกต่อเนื่อง และสภาพอากาศร้อนจัด ทำให้เริ่มมีเห็ดป่างอกออกมาให้ได้เห็น 

โดยปีนี้ พบว่า มีเห็ดป่าที่หาได้ยากเกิดขึ้นจำนวนมาก อย่างเช่น เห็ดตับเต่า ที่ชาวบ้านนิยมเก็บนำไปประกอบอาหารและจำหน่ายเป็นรายได้เสริม โดยราคาของเห็ดตับเต่าหากหาซื้อกับชาวบ้านโดยตรง ดอกตูมจะอยู่ที่กิโลกรัมละ 150 บาท ส่วนดอกที่บานแล้ว จะอยู่ที่กิโลกรัมละ 100 บาท ซึ่งเป็นราคาที่ไม่สูงมากนัก แต่หากไปหาซื้อในแหล่งชุมชนใหญ่ จะมีราคาสูงถึงกิโลกรัมละ 300 บาทเลยทีเดียว 

จากการสอบถาม นางสาวเรียม อายุ 46 ปี ชาวบ้านหนองโบสถ์บ่อลิง บอกว่า เห็ดที่ได้มาวันนี้เป็นเห็ดตับเต่า ซึ่งถือว่าหาได้ค่อนข้างยาก และเป็นที่นิยมรับประทานกันอย่างมาก เพราะมีรสชาติดี นุ่ม ลื่นคอ จะมีมากในป่าดิบชื้น อย่างเช่นป่าชุมชนบ้านหนองโบสถ์แห่งนี้ ส่วนใหญ่นิยมนำไปทำลาบและต้ม หรือทำแกงเปรอะ ร่วมกับผักมีกลิ่นต่างๆ ยิ่งจะเสริมรสชาติให้ดีมากยิ่งขึ้น

โดยเห็ดชนิดนี้เป็นเห็ดที่มีราคาสูง หากไปหาซื้อตามภาคกลาง ราคาจะอยู่ที่ประมาณกิโลกรัมละ 300 บาท แต่ที่ตนนำมาขายในท้องถิ่น จะอยู่ที่กิโลกรัมละ 100 – 150 บาทเท่านั้น ซึ่งช่วงนี้มีเท่าไรก็ไม่พอขาย เพราะหาได้ยาก นานๆ ปีจะมีครั้ง เพราะช่วงนี้อากาศเหมาะสม บางคนหาได้วันละหลายสิบกิโลกรัม ทำให้มีรายได้เสริมมาเลี้ยงครอบครัวได้อย่างดี ส่วนตนวันนี้หามาได้มากกว่า 10 กิโลกรัม 

สำหรับเห็ดตับเต่า จัดเป็นเห็ดขนาดใหญ่ที่พบได้ในทุกภูมิภาค นิยมนำมารับประทาน เนื่องจากดอกเห็ดมีขนาดใหญ่ เนื้อเห็ดมีความนุ่มและลื่น ใช้ทำอาหารได้ทั้งดอกเห็ดอ่อนและดอกเห็ดแก่ เพราะถึงแม้ดอกเห็ดจะแก่ แต่ยังให้เนื้อเห็ดที่นุ่มลื่นเหมือนดอกเห็ดอ่อน จะเจริญอยู่ร่วมกับรากต้นไม้ยืนต้นแบบพึ่งพาอาศัยกัน

กล่าวคือ รากไม้จะให้สารคาร์โบไฮเดรตและสารอาหารอื่นๆ ที่จำเป็นแก่เห็ดตับเต่า เพื่อนำไปใช้ในการเติบโตและสร้างดอกเห็ด ส่วนเห็ดตับเต่าจะช่วยเพิ่มธาตุอาหารให้แก่ต้นพืช ช่วยปกป้องเชื้อราที่ก่อโรคทำให้รากเน่า จึงมักพบเห็ดตับเต่าได้ตามใต้ร่มไม้ยืนต้นที่มีความชุ่มชื้น จะพบเห็ดตับเต่าได้ตั้งแต่หลังต้นฤดูฝนจนถึงปลายฤดูฝน และมักเติบโตให้เห็นบริเวณที่เป็นดินเหนียว ส่วนดินทรายไม่ค่อยพบเห็น อาจเป็นเพราะมีความชื้นไม่เหมาะสมต่อการเติบโต