
1 มิถุนายน 2566 เมื่อเวลา 11.00 น. นายชำนัญ ศิริรักษ์ อาชีพทนายความ ได้โพสต์แสดงความเห็นเกี่ยวกับ "ส่วยรถบรรทุก" ระบุข้อความว่า เคยล่อซื้อเอง ฟ้องเอง หาหลักฐานเองมาเป็นบัญชี แต่สาวไปถึงคนข้างหลัง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ยังเลี้ยงไว้ จนคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก ไม่ขยายผลแต่อย่างใด
นายชำนัญ กล่าวอีกว่า รับทำคดีส่วยรถบรรทุก ให้กับผู้ประกอบการรายหนึ่งในจังหวัดทางภาคตะวันออก โดยรถบรรทุกของผู้ประกอบการรายนี้ ถูกตำรวจตั้งด่านเรียกเข้าไปตรวจค้น และทั้งที่ไม่สามารถตั้งข้อหาความผิดได้ แต่ตำรวจกลับให้หมายเลขโทรศัพท์ติดต่อเจ้าของบริษัทให้โทรมาเคลียร์ และในที่สุดก็เรียกรับเงิน โดยแลกกับการที่จะอำนวยความสะดวกในการวิ่งรถให้ ซึ่งคนที่โทรมาคุยกับตำรวจรายนี้ก็คือตนเอง
ตำรวจนายนั้นเสนอเงื่อนไขว่า ถ้าจ่ายเงินเป็นรายเดือน จะอำนวยความสะดวกให้ได้ตลอดเส้นทาง ชลบุรี-ระยอง คือ ให้วิ่งเลนขวาได้ ทำความเร็วได้ แต่งตัวไม่เรียบร้อยได้ ไม่จับเรื่องไฟหน้าไฟท้ายเสีย แต่ห้ามฝ่าไฟแดง พูดง่าย ๆ คือจะไม่มาก่อกวนจับกุมเรื่องจุกจิกต่าง ๆ พอเราแกล้งทำเป็นตกลง เขาก็ส่ง QR Code มาให้ผมโอนเงินไป ผมก็โอนเงินไปและเก็บสลิปไว้ ตรวจสอบหมายเลขบัญชีพบว่าเป็นของภรรยาของนายตำรวจคนนั้น จึงทำเรื่องส่งฟ้องจนตำรวจนายนี้ถูกสั่งให้ออกจากราชการ และถูกตัดสินจำคุก แต่เขายอมรับผิดคนเดียว ไม่ซัดทอดใครต่อเลย ทั้งที่เราเห็นเส้นทางเงินมันไปต่ออีกหลายทอด
จากการทำคดีทำให้เห็นถึงวงจรผลประโยชน์ขนาดใหญ่ ที่ทำให้ปัญหาส่วยรถบรรทุก เรื้อรังมานานในสังคมไทย เพราะมีผู้ได้รับผลประโยชน์ร่วมกันหลายฝ่ายใช่หรือไม่ จึงต้องตรวจสอบจากผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งระบบ ตั้งแต่ตำรวจ ผู้ประกอบการที่ต้องการเพิ่มกำไรด้วยการบรรทุกน้ำหนักเกิน รวมไปถึงด่านชั่งน้ำหนักต่าง ๆ และยังต้องตรวจสอบด้วยว่าเงินถูกส่งต่อไปตามสายบังคับบัญชาอีกหรือไม่ เพราะมีเงินหมุนเวียนในระบบนี้หลักพันล้านบาทต่อปี นั้นเป็นเพียงประเภทที่ 1 ของส่วยรถบรรทุกเมื่อประมาณปี 2560-2561
การเรียกเก็บส่วย ประเภทที่ 1 เป็นขบวนการที่ร่วมมือกันระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐหลายฝ่ายกับผู้ประกอบการรถบรรทุกบางรายที่ต้องการกำไรเพิ่มจากการบรรทุกน้ำหนักเกิน และนำเงินส่วนหนึ่งที่ได้กำไรเพิ่มมาจ่ายส่วย เป็นกลุ่มที่เอาเปรียบสังคม ทำให้ถนนเสียหาย เอาเปรียบผู้ประกอบการรายอื่นที่ทำถูกต้อง กลุ่มนี้คือกลุ่มที่ใช้ "สติกเกอร์" เป็นสัญลักษณ์
ประเภทที่ 2 ผู้ประกอบการที่บรรทุกน้ำหนักถูกต้องตามกฎหมาย แต่อาจมีความผิดเล็กน้อยที่เกิดขึ้นได้บ่อย ๆ เช่น วิ่งเลนขวา ไฟขาด แต่งตัวไม่เรียบร้อย ผ้าคลุมกันฝุ่นไม่เรียบร้อย จะถูกเรียกตั้งข้อหาให้เสียค่าปรับแบบจุกจิก พร้อมถูกยื่นข้อเสนอ บีบให้เจ้าของบริษัทยอมจ่ายส่วยเป็นรายเดือนแทน เพราะเสียน้อยกว่าถูกเรียกเก็บบ่อย ๆ กลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่เสียเปรียบจากการที่กฎหมายเปิดช่องให้เจ้าหน้าที่สามารถใช้ดุลยพินิจในการจับกุมรถได้อีก กลุ่มนี้ไม่มีสติกเกอร์ แต่จะรู้กันว่าบริษัทไหนจ่ายแล้วบ้าง
ประเภทที่ 3 รถบรรทุกของสถานประกอบการขนาดใหญ่ แบรนด์ดัง กลุ่มนี้จะมีโลโก้แบรนด์เด่นอยู่ที่รถ ไม่ถูกเรียกเก็บส่วยตามรายทาง และไม่ต้องซื้อสติกเกอร์