
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจากพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวกับ “เนชั่นทีวี” ภายหลังการจับหมายเลขผู้สมัคร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ได้หมายเลข 27 ว่า ตนเองมาเป็น สส.ครั้งแรก ตอนอายุ 27 ปี และเป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 27 และยังเป็นการเลือกตั้ง เพื่อเลือกสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 27 ซึ่งถ้าได้สภาฯ กับนายกฯ คนที่ 27 ตรงกันก็จะดีเลย
ส่วนความยิ่งใหญ่ของพรรคประชาธิปัตย์ในปัจจุบัน ไม่ใช่พรรคประชาธิปัตย์ที่เคยได้กว่าร้อยเสียงในอดีตนั้น นายอภิสิทธิ์ ระบุว่า ใครจะใหญ่ ใครจะเล็ก อยู่ที่ประชาชนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง พร้อมย้ำเชิญชวนประชาชน มาร่วมกับพรรคประชาธิปัตย์ เปลี่ยนแปลงประเทศ ซึ่งทุกคนพูดคุยทุนเทา ดังนั้น ตนจึงขอเชิญชวนมาร่วมกันปราบทุนเทา ด้วยการขจัดทุกพรรคการเมืองที่เอาเงินมาซื้ออำนาจรัฐ
นายอภิสิทธิ์ ยังกล่าวถึงการจัดลำดับบัญชีรายชื่อในครั้งนี้ ที่นายชวน หลีกภัย อดีตหัวหน้าพรรคฯ อยู่ในลำดับที่ 2 และนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ อดีตหัวหน้าพรรคฯ อยู่ในลำดับที่ 12 ว่า พรรคประชาธิปัตย์ จัดตามระบบ เพื่อให้กรรการบริหารพรรคฯ ชุดใหม่ ทำหน้าที่ได้เต็มที่ ซึ่งนายชวน ได้มาพูดคุยกับตน และยินดีที่จะหลีกทางลำดับบัญชีรายชื่อใน 10 อันดับแรก ไม่ต้องยึดตามธรรมเนียมเดิม แต่จากการพูดคุยกับผู้ที่เกี่ยวข้องแล้วนั้น นายชวน เป็นทั้งอดีตนายกรัฐมนตรี อดีตประธานรัฐสภา และยังเป็นสัญลักษณ์ของพรรคในภาคใต้ จึงขอให้นายชวน มาอยู่ในลำดับที่ 2 ซึ่งถือเป็นมติพรรคฯ นายชวน จึงยินยอม จากนั้น ก็จะจัดลำดับตามมาด้วย ผู้ที่อาสาเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี รองหัวหน้าพรรคฯ และอดีตหัวหน้าพรรคฯ รวมถึงผู้ที่ทำหน้าที่อื่น ๆ และอดีตรัฐมนตรี และอดีต สส.ที่เป็นกำลังสำคัญของพรรคฯ ในการทำหน้าที่ในสภา และยังมีผู้สมัครอีกหลายคน ที่อาสาไปอยู่ในลำดับที่ 90 กว่า ซึ่งไม่ได้คาดหวังว่า จะต้องเป็น สส.เพียงแต่ขอให้มีชื่ออยู่ เพื่อให้ประชาชนมั่นใจว่า ยังคงอยู่กับพรรคประชาธิปัตย์
ส่วนกรณีที่มีพรรคการเมืองอื่น ออกมาโต้แย้งพรรคประชาธิปัตย์ ที่ไม่ควรประกาศก่อนว่าจะร่วมรัฐบาลกับพรรคใด และไม่ร่วมกับพรรคการเมืองใดนั้น นายอภิสิทธิ์ ชี้แจงว่า การเลือกตั้ง เพื่อบอกว่า ประชาชนต้องการอะไร ดังนั้น การพยายามไม่บอกว่า ประชาชนเลือกแล้วประชาชนจะได้อะไร ตอนมองว่า ไม่เป็นธรรมกับประชาชน ฉะนั้น ความชัดเจน ไม่ใช่เรื่องแปลกในโลกสากลประชาธิปัตย์ ที่แต่ละพรรคมีจุดยืนชัดเจน ใครที่ไม่มีจุดยืน แสดงว่า แสวงหาอำนาจอย่างเดียว เป็นอะไรก็ได้ หรือเป็นแล้ว ไม่ต้องรักษาคำพูดกับประชาชนก็ได้ หรือไม่ต้องทำตามนโยบายของตัวเองก็ได้ โดยอ้างว่า เป็นรัฐบาลผสม ดังนั้น จึงหมดเวลาของสิ่งเหล่านี้ และถึงเวลาการทำการเมืองที่ชัดเจนแล้ว เพราะการเมืองที่ไม่ชัดเจน การมีดีลลับ การบิดพลิ้ว ไม่ตรงไปตรงมากับประชาชน เป็นที่มีของปัญหาประเทศทุกวันนี้ และแฝงการทุจริตคอร์รับชัน ซึ่งตนเข้าใจบางคนอาจมีความกังวล แต่นี่เป็นความพยายามของพรรคประชาธิปัตย์ว่า ต่อไปนี้ การเมืองจะต้องสุจริต โปร่งใส
ส่วนผลกระทบที่จะตามมาไม่ว่าจะเป็นผลดี-ผลเสีย หรือข้อจำกัดกับพรรคประชาธิปัตย์นั้น นายอภิสิทธิ์ ยืนยันว่า ก็พร้อมยอมรับ