"บิ๊กป๊อก"ย้ำใช้ 3 ยุทธศาสตร์แก้ทุจริตก.มหาดไทยชี้ขจัดไปกว่า 1.2 พันราย

19 สิงหาคม 2565 พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย กล่าวในวงเสวนาออนไลน์ หัวข้อ "ผู้นำ..กับการปราบโกง!!" และการประชุมขับเคลื่อนและติดตามนโยบายของรัฐบาลและภารกิจสำคัญของกระทรวงมหาดไทย ประจำปีงบประมาณ 2565 จัดโดย องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) (ACT) ร่วมกับกระทรวงมหาดไทย สถาบันพระปกเกล้า สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) ว่า การคอร์รัปชันมีผลต่อการเมือง และแก้ได้ด้วย

1.ยุทธศาสตร์ชาติ โดยให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการป้องกัน ส่วนการปราบปรามต้องใช้วิธีการลงโทษโดยกฎหมาย วินัยอาญา  

2.ต้องมีแผนแม่บท เน้นระบบให้ประชาชนมีการรับรู้มากขึ้น มีความยุติธรรมในการลงโทษ

3.ต้องปฏิรูปพัฒนาระบบยุติธรรม พัฒนาคน เพื่อให้ได้คนดีเข้ามาทำงาน กระทรวงมหาดไทยมีศูนย์ปราบปรามการทุจริต ตั้งแต่ระดับกระทรวงลงไปถึงจังหวัดทั่วประเทศ ตั้งแต่ปี 57-65 มีการลงโทษผู้ที่กระทำผิดทุจริตไปแล้ว 1,200 ราย

ด้าน นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า คนที่มารับราชการต้องเป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถ มีระบบอบรมให้อยู่ในระเบียบวินัย และมีผู้บังคับบัญชาคอยประเมิน ซึ่งกระทรวงมหาดไทยส่งเสริมเรื่องคุณธรรมจริยธรรมตลอดเวลา และสร้างแรงจูงใจโดยคัดเลือกบุคคลต้นแบบ บุคคลที่เป็นข้าราชการที่ดี ซื่อสัตย์ แล้วให้รางวัลและปูนบำเหน็จในเรื่องความก้าวหน้า ในแต่ละปีข้าราชการมหาดไทยซึ่งมีเป็นแสนคน มีการลงโทษผู้ที่กระทำผิดเป็นประจำ

ขณะเดียวกัน องค์กรอิสระที่มีหน้าที่ติดตามประเมินผลการทำงานของราชการ รัฐวิสาหกิจ กระทรวงมหาดไทย ก็ได้คะแนนความโปร่งใสในการทำงานสูงขึ้นทุกปี ซึ่งตรงกับแนวโน้มที่รัฐมนตรีบอกว่าจำนวนเรื่องร้องเรียนมีแนวโน้มลดลง ซึ่งปีนี้สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทยได้คะแนน เกณฑ์ประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสหรือ Ita ได้คะแนน 96.11 และรัฐมนตรีได้ให้นโยบายกับข้าราชการประจำ ให้ทำงานโดยประชาชนมีส่วนร่วม เช่น การจัดซื้อจัดจ้างจะมีภาคประชาชนองค์กรต่างๆ มีส่วนร่วมในการตรวจสอบตรวจรับงาน จัดทำแผนพัฒนาอำเภอ พัฒนาจังหวัด 

ทั้งนี้ รัฐมนตรีได้มอบหมายให้ตนทำระบบติดตามประเมินผลในงานนโยบายต่างๆ ว่ามีความก้าวหน้าอย่างไร และยังมีระบบ AI ที่ศูนย์ดำรงธรรมเป็นระบบอัตโนมัติ ซึ่งประชาชนสามารถร้องเรียนได้ 24 ชั่วโมง ทั้งเรื่องอิเล็กทรอนิกส์ การใช้โทรศัพท์ และระบบ AI จะประเมินว่าเหตุใดจังหวัดนี้ มีเรื่องร้องเรียนมาก ซึ่งทั้งหมดนี้จะเป็นองค์ประกอบที่ทำให้เห็นว่าข้าราชการของกระทรวงมหาดไทย เป็นข้าราชการที่สำนึกและมีจิตใจมุ่งมั่น ที่จะทำงานด้วยความสุจริตและตั้งใจที่จะทำงานร่วมกับพี่น้องประชาชน นอกจากนี้ในอำเภอและจังหวัด สร้างทีมเครือข่ายอำเภอละ 100 คน เพื่อให้สบายใจว่านายอำเภอจะทำงานโดยร่วมคิดร่วมทำและร่วมรับผิดชอบกับประชาชน 

ส่วนระบบการแต่งตั้งโยกย้ายในกระทรวง รัฐมนตรีให้นโยบายว่าให้พิจารณาตามระบบคุณธรรม ดูความประพฤติ ความสามารถและประวัติในอดีต จึงมั่นใจว่ากระทรวงมหาดไทยในยุคของ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา เป็นกระทรวงมหาดไทยที่โปร่งใส ไว้ใจได้ ขณะเดียวกันกระทรวงมหาดไทยยังมีผู้ตรวจราชการ ที่จะตรวจสอบหาข้อเท็จจริง และคอยแจ้งให้ผู้บังคับบัญชาได้รับทราบข้อมูลของข้าราชการ 

"ระบบการพิจารณาอะไรต่างๆ เรื่องความดีความชอบ เรื่องตำแหน่งแห่งหน  เราใช้ระบบคุณธรรม ใช้คณะกรรมการที่มอบหมายความไว้วางใจเป็นผู้ช่วยคัดเลือกคนตามความรู้ความสามารถ ตามความประพฤติ และตามสิ่งที่ควรจะได้ ดังนั้นยุคนี้เอาคนไม่ดีให้มามีอำนาจนั้น ไม่มีแน่ และที่สำคัญการลงโทษก็ไม่มีการช่วยเหลือกัน แต่กระบวนการลงโทษต้องทำตามกฎหมาย ตั้งแต่การสอบข้อเท็จจริง ถ้ามีมูลก็ต้องตั้งกรรมการสอบวินัยและลงโทษกันไป และถ้ามีเรื่องเชิงประจักษ์ ก็ไม่รอถึงขนาดนั้น ในเชิงบริหารงานบุคคลเราก็เรียกมาประจำที่ส่วนกลาง สิ่งเหล่านี้จะทำให้พี่น้องชาวมหาดไทยมีบรรทัดฐานที่เหมือนกันว่าเราประเมิน 360 องศา มีเหตุเราก็ต้องช่วยกันตักเตือนถ้าไม่ดีขึ้นก็ช่วยไม่ได้ก็ต้องลงโทษกันดังนั้นสบายใจได้ถ้ามีอะไรก็ 1567 เชิญใช้ได้ 24 ชั่วโมง" ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าว

ด้าน นายวิเชียร พงศธร ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) กล่าวว่า มิติสำคัญในการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนและภาคประชาสังคม ในฐานะที่องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน อยากจะถาม พลเอก อนุพงษ์ ว่า เราจะเป็นตัวช่วยสำคัญในการร่วมกันพัฒนาแก้ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันอย่างไร รวมทั้งเป็นตัวเสริมการแจ้งเหตุเฝ้าระวังได้อย่างไรด้วย