
KEY
POINTS
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า เหตุการณ์ฝนตกหนักและพายุถล่มในหลายประเทศของภูมิภาค เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และ เอเชียใต้ ส่งผลให้เกิด อุทกภัย และดินถล่มครั้งใหญ่ใน อินโดนีเซีย (สุมาตรา), ศรีลังกา, ภาคใต้ของไทย และตอนเหนือของมาเลเซีย โดยมีผู้เสียชีวิตรวมแล้วมากกว่า 1,140 ราย
ภัยพิบัติในสัปดาห์นี้ถือเป็นเหตุการณ์ สภาพอากาศแปรปรวน ล่าสุดที่สร้างความเสียหายอย่างรุนแรงให้กับภูมิภาค โดยก่อนหน้านี้ฟิลิปปินส์ก็เพิ่งเผชิญกับไต้ฝุ่นถึงสองลูกเมื่อเดือนที่แล้ว ซึ่งมีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 242 ราย
ประธานาธิบดีปราโบโว ซูบิอันโต ของ อินโดนีเซีย ได้เดินทางถึงสุมาตราเหนือเมื่อวันจันทร์ และกล่าวว่า รัฐบาลกำลังเร่งส่งความช่วยเหลือที่จำเป็น และได้ส่งเรือพยาบาลสองลำพร้อมเรือรบอีกสามลำบรรทุกความช่วยเหลือไปยังพื้นที่ที่ถนนถูกตัดขาด แม้ว่าเขาจะกล่าวว่า "ช่วงที่แย่ที่สุดผ่านไปแล้ว" แต่หน่วยงานสภาพอากาศยังคงคาดการณ์ฝนตกหนักในหลายพื้นที่
รัฐบาล ศรีลังกา ได้ร้องขอความช่วยเหลือจากนานาชาติ และมีการใช้เฮลิคอปเตอร์ทางทหารเข้าช่วยเหลือผู้ประสบภัยที่ติดค้างอยู่ แม้ว่าทีมกู้ภัยจากอินเดีย ปากีสถาน บังกลาเทศ และญี่ปุ่น จะเดินทางมาถึงแล้ว แต่เจ้าหน้าที่ระบุว่ายังต้องการความช่วยเหลือเพิ่มเติม
ในภาคใต้ของประเทศไทย ทางการได้ยืนยันตัวเลขผู้เสียชีวิตจากอุทกภัยที่เพิ่มขึ้นเป็นอย่างน้อย 176 ราย โดยจังหวัดสงขลาเป็นพื้นที่ที่มีผู้เสียชีวิตสูงสุด (131 ราย)
ขณะเดียวกัน ในมาเลเซียที่อยู่ใกล้เคียง รัฐเปอร์ลิสก็ประสบฝนตกหนักและน้ำท่วมเป็นบริเวณกว้าง ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 3 ราย
นายอเล็กซานเดอร์ มาธิโอ ผู้อำนวยการภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก สหพันธ์สภากาชาดและสภาเสี้ยววงเดือนแดงระหว่างประเทศ (IFRC) กล่าวว่า เหตุการณ์อุทกภัยเหล่านี้เป็นเครื่องย้ำเตือนอย่างชัดเจนว่าภัยพิบัติที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกำลังกลายเป็น "ความปกติใหม่"
เขาเน้นย้ำถึงความจำเป็นเร่งด่วนที่ประเทศต่าง ๆ ต้องลงทุนในระบบเตือนภัยล่วงหน้าที่ดีขึ้น, สถานที่หลบภัยสำหรับประชาชน และแนวทางแก้ไขปัญหาที่อิงธรรมชาติมากขึ้นในการจัดการภัยพิบัติ