
20 กันยายน 2568 สื่อสิงคโปร์ "สเตรท ไทม์ส" (Straits Times) ได้จับตาคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ของไทย ภายใต้การบริหารของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ที่มีรายชื่อออกมาแล้ว เมื่อวันที่ 19 กันยายน โดยผู้ที่ได้รับการคัดสรรให้นั่งกระทรวงสำคัญ คือพวก "เทคโนแครต" (Technocrats) หรือ "กลุ่มบุคคลผู้มีความรู้ ความเชี่ยวชาญทางเศรษฐกิจ" เพื่อให้เข้ามาขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่กำลังเผชิญกับผลกระทบจากภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ และหนี้ครัวเรือนที่สูง โดยเฉพาะนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาส ข้าราชการผู้มากประสบการณ์ ที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง , นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ อดีตประธานเจ้าหน้าที่บริหารโรงแรมดุสิตธานี ได้รับการแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และนายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ อดีตประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ได้รับการแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน
รายงานที่อ้างอิงสำนักข่าวบลูมเบิร์ก (Bloomberg) ระบุว่า นายกรัฐมนตรีได้เตรียมนำรัฐมนตรีชุดใหม่ เข้าเฝ้าฯ เพื่อถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนรับหน้าที่ในวันที่ 24 กันยายน และคาดว่า นายอนุทิน วัย 59 ปี นายกรัฐมนตรีคนที่ 3 ของไทยในรอบ 2 ปี จะแถลงนโยบายของรัฐบาลในเร็วๆ นี้ ซึ่งเขาให้มั่นว่า จะมุ่งเน้นการแก้ไขปัญหาค่าครองชีพที่สูง และระดับหนี้ครัวเรือนที่สูงลิ่ว นอกเหนือจากการดำเนินมาตรการ เพื่อแก้ไขปัญหาค่าเงินที่แข็งค่าขึ้น ซึ่งเป็นภัยคุกคามต่อการส่งออก และการท่องเที่ยวของประเทศ ส่วนปัญหาข้อพิพาทชายแดนกับกัมพูชานั้น เขาบอกว่า รัฐบาลชุดใหม่จะแก้ไขปัญหาข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชาโดยสันติวิธี โดยไม่สูญเสียชีวิตและปกป้องอธิปไตยของประเทศ
รายงานของสเตรท ไทม์ส ระบุว่า นายอนุทินเป็นหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย "สายอนุรักษ์นิยม" ที่สืบทอดตำแหน่งต่อจากนางสาวแพทองธาร ชินวัตร ของพรรคเพื่อไทย หลังถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้พ้นจากตำแหน่ง จากความผิดทางจริยธรรมในการจัดการข้อพิพาทชายแดนกับกัมพูชา ซึ่งวินิจฉัยนี้ นำไปสู่การล่มสลายของพรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งท้ายที่สุดก็นำไปสู่การ "เลื่อนตำแหน่ง" ของนายอนุทิน และ "การถูกผลักไสออกไปของตระกูลชินวัตรที่ทรงอิทธิพล"
นายอนุทิน ซึ่งเป็นผู้นำรัฐบาลเสียงข้างน้อย ได้ให้คำมั่นว่าจะจัดการเลือกตั้งใหม่ภายใน 4 เดือน ภายใต้ข้อตกลงกับพรรคประชาชน ซึ่งเสนอที่จะสนับสนุนการลงสมัครชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของเขาโดยไม่ต้องเข้าร่วมพรรคร่วมรัฐบาลผสม ส่วนการแต่งตั้ง "นักเทคโนแครต" ให้ดูแลกระทรวงสำคัญๆ ทางเศรษฐกิจ ภายในไม่กี่วันหลังจากได้รับการโหวตในสภาฯ ได้ช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นของนักลงทุน หลังจากความไม่มั่นคงทางการเมือง ทำให้เกิดความไม่แน่นอน เกี่ยวกับทิศทางนโยบาย แต่การที่รัฐบาลของเขาอยู่ในอำนาจเพียงระยะสั้น อาจเป็นข้อจำกัดความสามารถของเขา ในการริเริ่มนโยบายสำคัญๆ
นี่ไม่ใช่ครั้งแรก ที่ประเทศไทยต้องอาศัยความเชี่ยวชาญของ "นักเทคโนแครต" พวกเขาเคยมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างก้าวกระโดดในช่วงทศวรรษที่ 70-80 หลังการจบลงของสงครามเวียดนาม และภัยคุกคามจากคอมมิวนิสต์ เทคโนแครตไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในภาคเอกชน แต่ยังหมายถึงข้าราชการระดับสูง ที่มีความรู้ความสามารถทางด้านเศรษฐกิจด้วย ยกตัวอย่างเช่น นายเสนาะ อูนากูล อดีตผู้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งมีส่วนร่วมในกาวางแผนพัฒนาเศรษฐกิจ-สังคมไทย และเกิด "ยุคทอง" ในสมัยรัฐบาลของพลเอกเปรม ติณสูลานนท์