
กระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ ออกแถลงการณ์ในวันพุธ (28 พฤษาคม) ภายใต้หัวข้อว่า “นโยบายวีซ่าใหม่ที่อเมริกามาก่อน ไม่ใช่จีน” ระบุว่า กระทรวงต่างประเทศจะทำงานร่วมกับกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิเพื่อเพิกถอนวีซ่าของนักศึกษาจีน ซึ่งรวมถึงคนที่มีความเกี่ยวข้องกับพรรคคอมมิวนิสต์จีน หรือ ศึกษาในสาขาวิชาสำคัญ รวมทั้งจะทบทวนเกณฑ์การออกวีซ่าที่จะเพิ่มการคัดกรองผู้ยื่นขอวีซ่าในอนาคตทั้งหมดจากทั้งจีนและฮ่องกง แต่แถลงการณ์ของมาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศ ไม่ได้ระบุรายละเอียดว่าการเพิกถอนวีซ่าจะกว้างขวางแค่ไหน
จีนเป็นประเทศที่มีนักเรียนศึกษาอยู่ในสหรัฐฯ จำนวนมากเป็นอันดับ 2 รองจากอินเดียในปีที่แล้ว หลังจากเคยอยู่ในอันดับแรกติดต่อกัน 15 ปี และในปีการศึกษา 2023-2024 มีนักเรียนกจีนมากกว่า 270,000 คน หรือเกือบ 1 ใน 4 ของนักเรียนต่างชาติทั้งหมด
ความเคลื่อนไหวล่าสุดของรัฐบาลสหรัฐฯ มีขึ้นท่ามกลางความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนกำลังตึงเครียด โดยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรครีพับลิกันกล่าวหาว่า ความสัมพันธ์ใกล้ชิดระหว่างสถาบันการศึกษาสหรัฐฯ และจีนเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของชาติ โดยกังวลเรื่องการถ่ายโอนเทคโนโลยี
นอกจากนี้แถลงการณ์ของรูบิโอเพิ่มความไม่แน่นอนและความกังวลแก่นักศึกษาต่างชาติในสหรัฐฯ มากยิ่งขึ้น หลังจากพวกเขาเผชิญมาตรการตรวจสอบที่เข้มงวดยิ่งขึ้นในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา
เมื่อวันอังคารทำเนียบขาวเพิ่งสั่งให้สถานทูตและสถานกงสุลทั่วโลกระงับการนัดหมายสัมภาษณ์ผู้ยื่นขอวีซ่าของนักเรียนต่างชาติชั่วคราวจนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง โดยจะไม่กระทบต่อผู้ที่ได้รับการนัดหมายแล้ว และมีแผนคัดกรองและตรวจสอบการใช้โซเชียลมีเดียของผู้ยื่นขอวีซ่าดังกล่าวด้วย
เมื่อสัปดาห์ที่แล้วรัฐบาลทรัมป์ก็เพิ่งระงับสิทธิของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดในการรับนักศึกษาต่างชาติ แต่ศาลสั่งระงับการบังคับใช้มาตรการดังกล่าวชั่วคราว
มาตรการเหล่านี้เป็นความพยายามของรัฐบาลทรัมป์เพื่อหยุดยั้งกระแสต่อต้านชาวยิวในสถานศึกษา และมีนักศึกษาหลายคนถูกระงับวีซ่าหรือจับกุมจากการเข้าร่วมการชุมนุมสนับสนุนปาเลสไตน์และการประท้วงต่อต้านสงครามในฉนวนกาซาในมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ทั่วสหรัฐฯ ที่เริ่มขึ้นนับจากอิสราเอลเปิดฉากสครามในกาซาเมื่อเดือนตุลาคม 2566