
29 พฤษภาคม 2568 ผู้พิพากษา 3 คน ของศาลการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐฯ ซึ่งตั้งอยู่ที่ย่านแมนฮัตตัน รัฐนิวยอร์ก ได้ตัดสินสั่งยับยั้งมาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ของ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่เขาเรียกว่า "วันปลดแอก" (Liberation Day) โดยพิจารณาว่า เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายและสั่งระงับการบังคับใช้ทันที ซึ่งคำตัดสินนี้ มีขึ้นหลังจาก 12 รัฐในสหรัฐฯ รวมทั้งนิวยอร์ก และแคลิฟอร์เนีย ยื่นฟ้องต่อศาล โดยระบุว่า "ทรัมป์" ใช้อำนาจเกินขอบเขตของประธานาธิบดี ในการกำหนดภาษีศุลกากร ซึ่งขัดต่อรัฐธรรมนูญและกฎหมายการค้าระหว่างประเทศ
ในคำสั่งศาล ระบุว่า การกำหนดภาษีเป็นอำนาจของสภาคองเกรส ไม่ใช่อำนาจของประธานาธิบดีภายใต้ "พระราชบัญญัติอำนาจทางเศรษฐกิจฉุกเฉินระหว่างประเทศ" (IEEPA) โดยถือเป็นการใช้อำนาจ ที่เกินขอบเขตของประธานาธิบดี เป็นการกำหนดนโยบายการค้าของประเทศที่ขึ้นอยู่กับ "อารมณ์ชั่ววูบ" ของเขา และ "ศาลไม่ได้ตัดสินว่าการใช้ภาษีของประธานาธิบดีเป็นเรื่องฉลาดหรือได้ผลหรือไม่ แต่การใช้นั้นไม่สามารถกระทำได้ ไม่ใช่เพราะมันไม่ฉลาดหรือไม่ได้ผล แต่เพราะกฎหมายของรัฐบาลกลางไม่อนุญาตให้ทำเช่นนั้น"
คำสั่งยกเลิกคำสั่งขึ้นภาษีของ "ทรัมป์" ยังห้ามการบังคับใช้ในอนาคตด้วย เท่ากับเป็นการป้องกันไม่ให้ "ทรัมป์" บังคับใช้ภาษีศุลกากรที่วางไว้ต้นปีนี้กับ จีน เม็กซิโก และแคนาดา ซึ่งออกแบบมาเพื่อต่อสู้กับสารเสพติดเฟนทานิลที่เข้าไปในสหรัฐฯ
หลังสิ้นคำสั่งศาล ฝ่ายบริหารของ "ทรัมป์" ได้แสดงความไม่พอใจและยื่นอุทธรณ์ในอีกไม่กี่นาทีต่อมา โดยอ้างว่าการขาดดุลการค้าเป็นภาวะฉุกเฉินระดับชาติ ที่จำเป็นต้องดำเนินการสวนทางกับตลาดการเงินที่ตอบสนองในเชิงบวกทันควัน โดย ดัชนี S&P 500 ฟิวเจอร์ส และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลเพิ่มขึ้น
แดน เรย์ฟิลด์ อัยการสูงสุดของโอเรกอน ระบุว่า คำตัดสินนี้เป็นชัยชนะสำหรับครอบครัวแรงงาน ธุรกิจขนาดเล็ก และชาวอเมริกันทั่วไป โดยชี้ว่าภาษีของทรัมป์ เป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายและส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจ ซึ่งคำตัดสินยังถือเป็นการจำกัดอำนาจของประธานาธิบดีในการใช้อำนาจฉุกเฉินเพื่อกำหนดนโยบายการค้า โดยไม่ผ่านการอนุมัติจากสภาคองเกรส และอาจมีผลต่อการดำเนินนโยบายการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐฯ ในอนาคต
"ทรัมป์" พยายามอ้างมาโดยตลอดว่า การขึ้นภาษีศุลกากร จะเป็นการบังคับให้ผู้ผลิตนำงานในโรงงานกลับไปที่สหรัฐฯ และสร้างรายได้เพียงพอที่จะลดการขาดดุลงบประมาณของรัฐบาลกลาง เขาใช้ภาษีศุลกากรเป็นเครื่องมือในการเจรจา โดยหวังว่าจะบังคับให้ประเทศอื่นๆ เจรจาข้อตกลงที่เอื้อประโยชน์ต่อสหรัฐฯ ที่เขาอาจกำหนดอัตราเองถ้าเงื่อนไขไม่เป็นที่น่าพอใจ