10 พฤษภาคม 2568 แม้ "อินเดีย-ปากีสถาน" จะได้ชื่อว่า เป็นมหาอำนาจนิวเคลียร์แห่งเอเชียใต้ ที่โลกเฝ้าจับตาด้วยความกังวล แต่ขณะเดียวกัน ผู้เชี่ยวชาญด้านอาวุธยุทโธปกรณ์ก็เริ่มทำการเปรียบเทียบศักยภาพด้านกำลังทหารและยุทโธปกรณ์อื่นๆแล้ว ว่าใครจะได้เปรียบเสียเปรียบ ถ้าไม่ใช้อาวุธนิวเคลียร์ หลังจากเพื่อนบ้านที่เกลียดชังกันอย่างฝังรากลึก เคยสู้รบกันมาแล้ว 3 ครั้ง โดยครั้งล่าสุดเกิดขึ้นเมื่อปี
2514 ส่งผลให้ปากีสถานสูญเสียดินแดนส่วนหนึ่ง และเกิดการก่อตั้งประเทศบังกลาเทศขึ้น ส่วนการสู้รบครั้งที่ 4 เป็นสงครามจำกัดขอบเขตที่เมืองคาร์กิลในปี 2532 ซึ่งเป็นสงครามครั้งแรกที่ทำให้เกิดความเสี่ยงเรื่องสงครามนิวเคลียร์ระหว่างสองประเทศ
ข้อมูลในเว็บไซต์ "Global Firepower" ที่ติดตามอาวุธและกำลังทหารทั่วโลก และจัดทำรายชื่อเรียงลำดับความแข็งแกร่งทางทหารของประเทศต่างๆ 145 ประเทศ ระบุว่า ในปี 2568 อินเดีย
เป็นรองเพียงสหรัฐฯ รัสเซีย และจีน เท่านั้น ในด้านความแข็งแกร่งทางการทหาร ส่วนปากีสถานอยู่ในอันดับที่ 12 โดยพิจารณาปัจจัย 55 ประการ เช่น ด้านภูมิศาสตร์ เศรษฐกิจ อุตสาหกรรมใน
ประเทศ ทรัพยากรธรรมชาติ ผลงานด้านต่าง ๆ และความสัมพันธ์ของประเทศนั้นๆ กับประเทศโลกที่ 1 โลกที่ 2 และโลกที่ 3
รายงานของสถาบันวิจัยสันติภาพระหว่างประเทศสต็อกโฮล์ม (Stockholm International Peace Research Institute) หรือ SIPRI ซึ่งเป็นสถาบันวิจัยด้านความมั่นคงของ
สวีเดน ระบุว่า เมื่อปี 2567 อินเดียทุ่มงบด้านกลาโหมมากกว่าปากีสถานถึง 9 เท่า ส่วนในปีนี้ (2568) อินเดียมีแผนที่จะใช้จ่ายด้านการทหารประมาณ 86,000 ล้านดอลลาร์ (2.8 ล้านล้านบาท)
ขณะที่ปากีสถานจัดสรรงบประมาณเพื่อกองทัพราว 10,000 ล้านดอลลาร์ (3.2 แสนล้านบาท) สำหรับปีงบประมาณ 2567-2568
อินเดียมีกำลังทหารภาคพื้นดินราว 2.2 ล้านนาย กองทัพอากาศ 310,000 นาย และกองทัพเรือ 142,000 นาย
ปากีสถานมีกำลังทหารในกองทัพบกราว 1.31 ล้านนาย กองทัพอากาศ 78,000 นาย และกองทัพเรือ 1.4 ล้านนาย
อินเดียได้เปรียบในเชิงตัวเลข โดยมีกองบินมากถึง 31 กองบิน แต่ละกองบินมีเครื่องบินขับไล่ 17-18 ลำ
ส่วนกองทัพอากาศปากีสถานมีเพียง 11 กองบินเท่านั้น
อินเดียมีเครื่องบินทางทหาร 2,229 ลำ ปากีสถานมี 1,399 ลำ เฉพาะเครื่องบิน อินเดียมี 643 ลำ (เครื่องบินขับไล่ 513 ลำ และเครื่องบินทิ้งระเบิด 130 ลำ)
ปากีสถานมีเครื่องบินรบ 418 ลำ (เครื่องบินขับไล่ 328 ลำ และเครื่องบินทิ้งระเบิด 90 ลำ) แต่แม้จะน้อยกว่า ฝูงบินรบของปากีสถานก็น่าเกรงขาม เพราะมีทั้ง F-16 ที่ซื้อจากสหรัฐฯ และ JF-17 Thunder ที่พัฒนาโดยความช่วยเหลือจากจีน ภายใต้เป้าหมายคือการสร้างเครื่องบินที่มีน้ำหนักเบา สามารถปฏิบัติการเป็นเครื่องบินขับไล่ได้ในทุกสภาพอากาศ ทั้งกลางวันและกลางคืน และสร้างขึ้นโดยความร่วมมือระหว่าง "Pakistan Aeronautical Complex" (PAC) ของปากีสถาน และ "Chengdu Aircraft Industry" ของจีน
ส่วนอินเดีย ใช้เครื่องบินรบ Rafale ของฝรั่งเศส ซึ่งมีขีดความสามารถในการบรรทุกหัวรบนิวเคลียร์ ยิงขีปนาวุธได้ไกลถึง 150 กิโลเมตรในอากาศ และสามารถโจมตีจากอากาศสู่พื้นดินได้
ในระยะทาง 300 กิโลเมตร เครื่องบินรุ่นนี้เป็นรุ่นปรับปรุงของเครื่องบินรบ Mirage 2000 ที่กองทัพอากาศอินเดียใช้ และปัจจุบันอินเดียมีเครื่องบิน Mirage 2000 จำนวน 51 ลำ
ทั้งสองประเทศ ยังมีเครื่องบินอื่นๆ โดยอินเดียมีเครื่องบินขนส่ง 270 ลำ เครื่องบินฝึก 351 ลำ เครื่องบินเติมน้ำมัน 6 ลำ และเฮลิคอปเตอร์ 979 ลำ (รวมถึงเฮลิคอปเตอร์โจมตี 80 ลำ) และมีสนามบินที่ใช้งานได้ 311 แห่ง
ส่วนปากีสถานมีเครื่องบินขนส่ง 64 ลำ เครื่องบินฝึก 565 ลำ เครื่องบินเติมน้ำมัน 4 ลำ และเฮลิคอปเตอร์ 430 ลำ (รวมถึงเฮลิคอปเตอร์โจมตี 57 ลำ) มีสนามบินที่ใช้งานได้ 116 แห่ง
Global Firepower ระบุว่า
ปากีสถานมีรถถัง 2,672 คัน แต่อินเดียมีมากกว่าหนึ่งเท่าครึ่ง คือ 4,201 คัน รถถังของปากีสถานมีน้ำหนักเบา คือ 46,000 กิโลกรัม เมื่อเทียบกับรถถัง Leopard 2 ที่ผลิตในเยอรมนี กับ M1 Abrams ที่ผลิตในสหรัฐฯ ที่หนักถึง 60,000 กิโลกรัม รถถังของ ปากีสถาน พัฒนาขึ้นในประเทศ ใช้เครื่องยนต์ดีเซลระบายความร้อนด้วยของเหลวที่ใช้ในรถถัง 'Six TD2' Tecnis ของยูเครน ที่มีกำลัง 1,200 แรงม้า และความเร็วสูงสุด 70 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ปัจจุบัน ปากีสถานมีรถถังรุ่นนี้ 2,604 คัน
โดยเมื่อเทียบกัน อินเดียมีรถถัง Arjun Mk 1A และ Mk 2 โดย Mk 2 เป็นรุ่นอัปเกรดของ Arjun Mk 1 ใข้เครื่องยนต์ 1,400 แรงม้า และวิ่งได้ด้วยความเร็ว 70 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทั้งยังติดปืนหลากหลาย ได้แก่ ปืนกลขนาด 7.62 มม. ปืนสกัดกั้นอากาศยาน และปืนกลขนาด 12.7 มม. สำหรับ เป้าหมายภาคพื้นดิน ทั้งยังเหนือกว่ารุ่นก่อนหน้า ด้วยระบบการมองเห็นในเวลากลางคืน และในที่มืด อินเดียมีรถถังรุ่นนี้ 3,147 คัน
ในส่วนของปืนใหญ่ ปากีสถานเหนือกว่าอินเดียในแง่ของปืนอัตโนมัติ โดยปากีสถานมี 662 กระบอก อินเดียมี 100 กระบอก แต่อินเดียชนะในเรื่องของปืนติดยานยนต์ โดยมี 3,975
กระบอก ปากีสถานมี 2,629 กระบอก แต่ถ้าเป็นประเภทของยานยนต์ยิงจรวดหลายลำกล้อง ปากีสถานมีปืนใหญ่จรวดหลายลำกล้อง 600 กระบอก อินเดียมี 264 กระบอก
อินเดียมีเรือบรรทุกเครื่องบิน 2 ลำคือ INS Vikram Aditya และ INS Vikrant โดยอินเดียสร้าง Vikrant เอง และประจำการในกองทัพเรือ เมื่อปี 2565
แต่ปากีสถานไม่มีเรือบรรทุกเครื่องบินเลย ส่วนเรือประเภทอื่นๆ มีทั้งหมด 293 ลำ รวมถึงเรือตรวจการณ์ 135 ลำ เรือพิฆาต 13 ลำ เรือฟริเกต 14 ลำ และเรือคอร์เวต (เรือรบขนาดเล็ก) 18 ลำ เรือดำน้ำ 18 ลำด้วย เป็นเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ 3 ลำ ได้แก่ 'Arihant' 'Arigath' และ 'Aridhman'
ส่วนปากีสถานมีเรือดำน้ำ 8 ลำ ในจำนวนนี้คือเรือดำน้ำคลาส Agusta 90B จำนวน 3 ลำ เรือดำน้ำคลาส Agusta 70 จำนวน 2 ลำ และเรือดำน้ำคลาส Cosmos ขนาดเล็กอีก 3 ลำ
แต่ปากีสถานยังจัดหาเรือดำน้ำคลาส Hangur มาเพิ่มอีกจำนวน 8 ลำ ด้วยความช่วยเหลือจากจีน โดยเรือดำน้ำ 4 ลำจะถูกผลิตในปากีสถาน โดยรวมแล้ว กองทัพปากีสถานมีเรือ 121 ลำ รวมถึงเรือตรวจการณ์ 69 ลำ เรือฟริเกต 9 ลำ เรือคอร์เวต 9 ลำ และเรือวางทุ่นระเบิดอีก 3 ลำ
ปากีสถานมีทั้งขีปนาวุธทางยุทธวิธีแบบร่อน และแบบยิงในสนามรบ รวมถึงขีปนาวุธพิสัยใกล้และพิสัยกลาง โดยขีปนาวุธทางยุทธวิธี ได้แก่ ขีปนาวุธ Hatf-1 และ Nasr ของซีรีส์ Hatf ที่สามารถโจมตีเป้าหมายได้ในระยะ 60 ถึง 100 กิโลเมตร ส่วนขีปนาวุธพิสัยใกล้ ได้แก่ Abdali พิสัยยิง 200 กิโลเมตร, Ghaznavi พิสัยยิง 300 กิโลเมตร, Raad พิสัย 350 กิโลเมตร, Babur พิสัยยิง 700 กิโลเมตร และ Shaheen-1 พิสัยยิง 750-1,000 กิโลเมตร
ในช่วงความตึงเครียดล่าสุด ปากีสถานได้ทำการทดสอบขีปนาวุธ Abdali อีกรุ่นหนึ่ง ที่สามารถโจมตีเป้าหมายได้ในระยะทาง 450 กิโลเมตร ส่วนขีปนาวุธที่น่าเกรงขาม ได้แก่
Ghauri-1 และ Ghauri-2, Ababeel, Shaheen II และ Shaheen III โดย Ghauri-1 สามารถโจมตีเป้าหมายได้ในระยะทาง 1,500 กิโลเมตร, Ghauri-2 โจมตี
ได้ในระยะทางมากกว่า 2,000 กิโลเมตร และ Ababeel มีพิสัยการยิงอยู่ที่ 2,200 กิโลเมตร
มีรายงานด้วยว่า Shaheen II และ Shaheen III เป็นขีปนาวุธพิสัยไกลที่สุดของ ปากีสถาน มีพิสัยการยิงอยู่ที่ 2,500 ถึง 2,750 กิโลเมตร ตามลำดับ นอกจากนี้ Ababeel และ Shaheen III เป็นขีปนาวุธหลายลำกล้อง (Multiple Reentry Vehicles) หรือ MRVs ที่ออกแบบมาเพื่อทำลายตัวขีปนาวุธและโล่ป้องกันขีปนาวุธข้ามทวีปของศัตรู ที่ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่า ขีปนาวุธทั้ง 2 ประเภท เป็นระบบขีปนาวุธที่ทรงประสิทธิภาพที่สุดในคลังขีปนาวุธของปากีสถาน
ส่วนของอินเดีย มีตั้งแต่ขีปนาวุธ Prithvi (ปฤถวี) ที่มีพิสัย 250-600 กิโลเมตร ไปจนถึงขีปนาวุธซีรีส์ Agni (อัคนี) ที่มีพิสัย 1,200-8,000 กิโลเมตร รวมถึงขีปนาวุธร่อน
ซีรีส์ Nirbhaya และ Brahmos โดย Agni เป็นขีปนาวุธข้ามทวีป และ Agni-V ก็มีพิสัยยิงไกลกว่า 7,000-8,000 กิโลเมตร ส่วนขีปนาวุธ Dhanush (ธนัช) เป็นขีปนาวุธพิสัย
ใกล้ ที่ต้องยิงจากเรือ เป็นขีปนาวุธรุ่นที่ 3 ในซีรีส์ Prithvi ซึ่งประกอบด้วย Prithvi-1, Prithvi-2 และ Prithvi-3 สามารถบรรทุกได้ทั้งหัวรบธรรมดาและนิวเคลียร์
ยังมีขีปนาวุธ K-15 หรือ B-05 ซึ่งเรียกอีกอย่างว่า Sagarika (สการิกา) หรือ Shaurya (เชารยะ) เป็นขีปนาวุธที่ยิงจากเรือดำน้ำ และมีพิสัยยิงประมาณ 700 กิโลเมตร และ
ขีปนาวุธความเร็วเหนือเสียง BrahMos ที่เป็นได้ทั้งอาวุธทั่วไปและอาวุธนิวเคลียร์ ทั้งยังเคยไปตกที่ปากีสถาน ในปี 2565 แต่อินเดียแก้ต่างว่าเป็นอุบัติเหตุ อินเดียยังมีขีปนาวุธพิสัยไกล
ความเร็วเหนือเสียง (hypersonic) ที่สามารถโจมตีเป้าหมายได้ในระยะทางมากกว่า 1,500 กิโลเมตร และโจมตีศัตรูได้ทั้งจากทางบก ทางน้ำและทางอากาศ
ทั้งอินเดียและปากีสถานต่างก็เร่งเพิ่มจำนวนโดรนทางทหารในคลังแสง ทั้งยังพัฒนาเทคโนโลยีของตนเองที่สามารถติดตาม สอดส่อง หรือกำหนดเป้าหมายศัตรูโดยไม่ต้องมีนักบินด้วย
โดยเน้นบินได้ในระดับสูงเป็นเวลานาน เพื่อตรวจสอบกิจกรรมทางทหารบนพื้นดิน การวางกำลัง การติดตั้งที่สำคัญ การก่อสร้างใหม่ และฐานทัพทหาร ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่
ปรากฏบนเรดาร์ ทั้งยังสามารถทำลายเป้าหมายอย่างเจาะจงได้ด้วย
ซึ่งอินเดียคาดหวังว่าจะมีโดรนประมาณ 5,000 ลำในอีก 2-4 ปีข้างหน้า และได้ลงนามในข้อตกลงกับสหรัฐฯเพื่อซื้อโดรน Predator ที่ได้ชื่อว่าอันตรายที่สุด จำนวน 31 ลำ มูลค่า 3.5 พันล้านดอลลาร์
ส่วนปากีสถาน แม้ว่าจะมีโดรนน้อยกว่า แต่ก็มีความสามารถที่แตกต่างกันน โดยมี ทั้งที่ผลิตในประเทศและนำเข้าจากต่างประเทศ