โฆษกทำเนียบขาว เปิดเผยว่า รัฐบาลกำลังร้องขอให้เรือบรรทุกสินค้า รถบรรทุก และเครื่องบินขนส่งสินค้าเข้าช่วยเหลือในการขนส่งสินค้า หากรถไฟหยุดวิ่ง และพิจารณาอาจใช้อำนาจฉุกเฉินเพื่อบังคับให้การขนส่งสินค้าจำเป็นดำเนินได้ตามปกติ นอกจากนี้รัฐบาลกำลังประเมินว่า สินค้าและห่วงโซ่อุปทานใดมีความเสี่ยงสูงที่สุดจากการขนส่งหยุดชะงัก
รัฐบาลเจรจากับสหภาพแรงงานรถไฟและบริษัทผู้ให้บริการรถไฟขนส่งสินค้ามานานหลายเดือนแล้วเพื่อหลีกเลี่ยงการผละงานประท้วง หลังจากสหภาพแรงงานเรียกร้องให้บริษัทปรับขึ้นค่าจ้างและปรับปรุงสภาพแวดล้อมการทำงาน แต่ยังไม่ได้รับการตอบสนอง
จนถึงขณะนี้สหภาพแรงงาน 8 แห่งจาก 12 แห่งบรรลุข้อตกลงเบื้องต้นกับบริษัทแล้ว แต่สหภาพแรงงานรายใหญ่ 2 แห่งที่มีสมาชิกรวมกันเกือบครึ่งหนึ่งของแรงงานรถไฟทั้งหมด ยังคงเจรจาอยู่ และหากไม่สามารถบรรลุข้อตกลงภายในวันศุกร์นี้ พนักงานเกือบ 60,000 คนก็พร้อมผละงานประท้วง
หากมีการผละงานประท้วงจะทำให้รถไฟมากกว่า 7,000 ขบวนหยุดวิ่ง และจะส่งผลกระทบต่อการขนส่งสินเกือบ 30% จากทั้งหมด ซึ่งอาจทำให้เกิดการสูญเสียรายได้วันละ 2,000 ล้านดอลลาร์หรือ 72,000 ล้านบาท
กลุ่มธุรกิจอาหาร พลังงาน ยานยนต์ และค้าปลีกเรียกร้องให้สภาคองเกรสเข้าแทรกแซง โดยเตือนว่า การหยุดวิ่งของรถไฟอาจส่งผลกระทบต่อทุกสิ่งตั้งแต่ ผลผลิตธัญพืช จนถึงสินค้าเกี่ยวกับเทศกาลช้อปปิ้งช่วงคริสต์มาส
ขณะที่บริษัทขนส่งทางรถไฟบางแห่งเริ่มหยุดขนส่งวัตถุอันตรายและสินค้าบางชนิดเมื่อวันจันทร์เพื่อไม่ให้ตู้บรรทุกสินค้าต้องติดค้างบนทางรถไฟในช่วงที่การผละงานประท้วงอาจเริ่มขึ้นในวันศุกร์นี้ นอกจากนี้จะเริ่มหยุดขนส่งผลผลิตธัญพืชในวันพฤหัสบดี ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกและการจัดส่งอาหารให้ปศุสัตว์