svasdssvasds
เนชั่นทีวี

บันเทิง

ถอดแนวคิด “หนุ่ม กิติกร” จากเจ้าพ่อเรียลลิตี้ สู่ “King of Food Content”

"Exclusive Talk" ครั้งนี้เป็นอีกครั้งที่เราได้เดินทางไปยังอาณาจักรของเจ้าพ่อเรียลลิตี้ หรือที่เวลานี้จะเรียกว่า “King of Food Content” ก็คงไม่ผิดนัก ผู้บริหารท่านนี้ก็คือ “หนุ่ม กิติกร เพ็ญโรจน์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร “บริษัท เฮลิโคเนีย เอช กรุ๊ป จำกัด”

“หนุ่ม กิติกร เพ็ญโรจน์” ผู้ที่อยู่เบื้องหลังรายการดังในอดีตอย่าง "True Academy Fantasia", "The Trainer ปั้นฝันสนั่นเวที", "LG Entertainer ล้านฝันสนั่นโลก" ฯลฯ ยังเป็นผู้ที่ปลุกวงการเชฟให้มีสีสันด้วยรายการ "เชฟกระทะเหล็ก ประเทศไทย",  "MasterChef Thailand", "Top Chef Thailand" ฯลฯ การพูดคุยกันในวันนี้ไม่ใช่แค่อัปเดตผลงานเท่านั้น แต่เรายังล้วงมุมมอง ความคิดและไอเดียต่าง ๆ จากผู้บริหารคนเก่งมาฝาก

 

ถอดแนวคิด หนุ่ม กิติกร จากเจ้าพ่อเรียลลิตี้ สู่ King of Food Content

ผลงานของปีนี้ รายการเกี่ยวกับอาหารยังคงอยู่ เพิ่มเติมรายการเพื่อสุขภาพ

“ปีนี้ที่จะได้ชมรายการใหม่ยังเกี่ยวกับอาหารอยู่ รายการ  Hell’s Kitchen Thailand จะออกอากาศเดือนกุมภาพันธ์ โดยปกติรายการนี้ทั่วโลกจะมี Head Chef แค่คนเดียว แต่ประเทศไทยมีถึง 4 คนที่จะหมุนเวียนรันครัวในแต่ละวีค  อันที่สองหายไปนาน MasterChef Junior Thailand จะกลับมาพร้อมความน่ารักสดใส จุดสำคัญทำยังไงให้เด็กที่เข้ามาอยู่ในรายการเซอร์ไพรส์ที่สุด ต้องมีการซ่อนโจทย์ การแกล้งเชฟ หรือเชฟแกล้งเด็ก คงเป็นความสนุกสนาน Top Chef Thailand จะได้ชมปลายปี  อีกรายการ เชฟกระทะเหล็ก ประเทศไทย และยังมีรายการเพิ่มมาใหม่เกี่ยวกับอาหาร The Golden Spoon จะได้ชมกันในไตรมาสที่สอง อันนี้จะเป็นการติดดาวให้สตรีทฟู้ดทั่วประเทศ จะลงไปตามรถเข็น หรือร้านตามข้างถนนต่าง ๆ เพื่อที่จะได้ช่วยโปรโมทร้านค้าเหล่านั้น สร้างมาตรฐานต่าง ๆ ให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น จะดูในเรื่องความสะอาด ความอร่อย ความคงเส้นคงวาของรสชาติ แล้วเราก็จะให้ช้อน ใครทำได้ดีอาจจะได้สามช้อน ทำได้ดีมากอาจจะได้หลายช้อน”

 

ถอดแนวคิด หนุ่ม กิติกร จากเจ้าพ่อเรียลลิตี้ สู่ King of Food Content

“นอกจากรายการทีวีแล้ว สิ่งที่จะเพิ่ม คืออีเว้นท์ที่เป็น Food festival ปีนี้จะทำทั้งหมด 4 ครั้ง งานแรกชื่อว่า Dark Valentine คนอื่นทำวาเลนไทน์ให้คนมีคู่กันหมดทำไมไม่มีใครทำวาเลนไทน์ให้กับคนโสดบ้าง ก็กลายเป็นธีมนี้ขึ้นมา เป็นเมืองผีสิงเป็นสายมูสามารถบนบานเพื่อให้ได้แฟน ขอพรความรัก รวบรวมเชฟ 70-80 คน ที่เป็นเซเลบริตี้เชฟที่อยู่กับเราทั้งหมดมารวมตัวในงาน ครั้งต่อไปจะเปลี่ยนธีมไปเรื่อย ๆ สำหรับเสียงตอบรับจากปีที่แล้วถือว่าดี 10 วัน คนเข้างาน 5 แสนคน ทุกครั้งที่จัดงานลักษณะนี้ เราใช้เซเลบริตี้เชฟที่อยู่กับเรา หรือมีสัญญาอยู่กับเรา หรือที่เกี่ยวพันกับรายการเรา ไม่ได้เก็บค่าบูธอะไรเลย ให้มาฟรีหมด ก็ขายกันได้เยอะมากทุกคนแฮปปี้ ไม่ได้แฮปปี้แค่เรื่องของการขาย แต่แฮปปี้ที่ได้เจอแฟนคลับ อันนี้เป็นจุดสำคัญมากกว่าเป็นจุดเชื่อมรายการกับแฟนคลับ ให้เค้าได้เจอกัน เหมือนแฟนมีต"

"ปีนี้จะมีรายการเกี่ยวกับความฟิตความเฟิร์ม Ninja Warrior ซื้อลิขสิทธิ์มาจากญี่ปุ่น เป็นการแข่งขันกีฬาประเภทใหม่ห้อยโหนกระโดดโลดเต้น ซื้อลิขสิทธิ์มาจริงๆ ไม่ได้แพงมาก คิดเป็นตอน สิ่งที่แพงคือเรื่องของโปรดักชั่น อย่าง MasterChef หนึ่งซีซั่นค่าโปรดักชั่นอยู่ที่ 50-60 ล้าน รายการ Ninja Warrior เนื่องจากต้องมีพวกโครงสร้างต่าง ๆ การลงทุนคงอยู่ที่ประมาณ 70-80 ล้านต่อซีซั่น"

 

ถอดแนวคิด หนุ่ม กิติกร จากเจ้าพ่อเรียลลิตี้ สู่ King of Food Content

จากที่พูดคุยกัน "พี่หนุ่ม" จะพูดตลอดเรื่องของเซเลบริตี้เชฟ นั่นสะท้อนให้เห็นว่าอาชีพไหน ๆ ใคร ๆ ก็เป็นซุปเปอร์สตาร์ได้

“อย่างที่ว่าหลัก ๆ แล้วทุกคนสามารถเป็นซุปเปอร์สตาร์ในสายอาชีพของตัวเองได้ สมัยก่อนคนทั่วไปมองซุปเปอร์สตาร์ต้องเป็นนักร้อง ถามเด็กสมัยก่อนอยากเป็นอะไรเด็กอยากเป็นนักร้อง แต่ที่เราทำรายการอาหารมา 10 กว่าปี ผมเชื่อว่ามันมีส่วนทำให้ความเป็นเชฟมีความน่าสนใจมากขึ้น ถามเด็กสมัยนี้ก็มีหลายคนที่บอกอยากเป็นเชฟ เพราะเป็นอาชีพที่เป็นอาร์ต เป็นงานศิลปะอีกประเภทนึง แล้วเป็นอาชีพที่สามารถทำรายได้จริง ๆ  เมื่อเราสร้างรายการแบบนี้ขึ้นมา มันก็ทำให้เหมือนกับมีสปอร์ตไลท์ไปฉายที่ตัวเชฟเหล่านั้น เค้าก็กลายเป็นคนดังขึ้นมาได้ เรามีคนดูแลมี Artist Management มองเชฟเป็นศิลปิน เชฟแต่ละคนที่เข้ารายการต้องมีการเซ็นสัญญาเป็นศิลปินของเรา มีการป้อนงานให้กับศิลปินเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นการออกอีเว้นท์ต่าง ๆ หรืองานที่เราสร้างขึ้นมาเองร่วมกันกับพาร์ทเนอร์หรือสปอนเซอร์เรา ก็จะเอาศิลปินเราหรือเชฟของเราเข้าไปอยู่ในงาน แล้วเค้าก็จะได้รับรายได้” (กฎเหล็กที่ต้องฟัง ?) ห้ามโกหก ทำงานด้วยต้องเชื่อใจกันได้ การรับงานต่าง ๆ ต้องอยูในกรอบที่เราสร้าง การที่รับงานให้ เพราะหนึ่งเราต้องดูในเรื่องของภาพลักษณ์ศิลปินให้ชัดเจน สองดูเรื่องราคาให้กับศิลปิน สามดูเรื่องสปอนเซอร์ สมมุติสปอนเซอร์ผมเป็นน้ำประเภทหนึ่ง ศิลปินอยู่ดี ๆ ไปรับงานของสปอนเซอร์ฝั่งตรงข้ามก็จะเสียมารยาท ฉะนั้นต้องมีกรอบ คำถามว่าอะไรเป็นจุดที่ห้ามก็คือห้ามโกหก”

ผมคือโรงงานผลิตแบรนด์

“ตอนนี้เรามองว่า รายการทีวี คือโรงงานผลิตแบรนด์ เป็นโรงงานผลิตเซเลบริตี้เชฟ เมื่อมันเป็นโรงงานผลิตแล้วเราก็ต้องเอาของที่เราผลิตขึ้นมาไปต่อยอดในแขนงต่าง ๆ ที่ไม่ใช่อยู่แค่ทีวีแล้ว แต่คือการต่อยอดธุรกิจที่เกี่ยวกับอาหารในวงกว้างมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นอีเว้นท์ ไม่ว่าจะเป็นโปรดักส์ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งต่าง ๆ ที่มันเกี่ยวกับอาหารทั้งหมด จุดแตกต่างของเรากับบริษัทที่ทำรายการทีวีอื่น จุดสำคัญอยู่ตรงที่ว่าเราไปที่อาหารอย่างชัดเจน อาหารสามารถต่อยอดธุรกิจเกี่ยวกับอาหารได้ แต่ถ้าเป็นรายการประเภทวาไรตี้โชว์หรือเกมส์โชว์ทั่วไปมันอาจจะต่อยอดธุรกิจได้ยากกว่า เราดูเทรนด์แน่ ๆ ว่าเทรนด์ของตลาดคืออะไร เราเป็นคนทำรายการทีวี จะเลือกทำรายการทีวี หรือคอนเทนต์ที่สามารถต่อยอดได้เท่านั้น ทีวีสมัยนี้มันคงไม่สามารถที่จะทำกำไรได้เหมือนสมัยก่อน ฉะนั้นรายการทีวีมันต้องเป็นจุดกำเนิดของธุรกิจอื่น สมมุติจะทำเกมโชว์อันนึง แต่เกมโชว์นั้นมันต่อยอดธุรกิจลำบาก มันก็กลายเป็นว่าอาจจะได้แค่คุ้มทุนหรือกำไรนิดหน่อย หรืออาจจะขาดทุนด้วยซ้ำในสมัยนี้ ต้องเลือกคอนเทนต์ของทีวีสมัยนี้ที่มันสามารถต่อยอดธุรกิจต่อได้"

 

นีน ณลีนา เพ็ญโรจน์ ศิลปินเบอร์แรก Heliconia Music

หลังสนุกสนานกับเรียลลิตี้อาหารพักใหญ่ อีกสิ่งที่ไม่เคยทิ้งคือเรื่องของดนตรี วันนี้ไฟในตัวกลับมาแล้ว กับค่ายเพลงน้องใหม่ "Heliconia Music" เราถามไปตรง ๆ ว่าที่ลุกขึ้นมาทำค่ายเพลง เพราะความชอบส่วนตัวล้วน ๆ ใช่หรือไม่ “พี่หนุ่ม” หัวเราะลั่นห้อง 

“มองได้สองทาง จริง ๆ แล้ว Passion ของเรามีสองอย่างคืออาหารกับมิวสิค ก่อนหน้านี้ทำรายการเพลงมาพอสมควร แล้วเราหยุดทำไปพักนึง รู้สึกว่าคนทำเยอะ อยากทำอะไรที่คนอื่นยังไม่ได้ทำ เลยวิ่งมาที่เส้นอาหาร พอตอนนี้ทำอาหารจนถึงจุดนึงแล้ว จนคิดว่าน่าที่จะกลับมาแตก Passion เดิมได้ก็คือมิวสิค คือที่มาของการเปิด Heliconia Music แน่นอนเราไม่มองว่าเราเป็นค่ายเพลงแน่ ๆ  แต่เราต้องมองว่าเป็น Content Hub อีกเช่นกัน มีแกนของมันคือ Based on True Story ความหมายว่าศิลปินไม่ใช่แค่ร้องเพลงอย่างเดียว แต่ต้องแต่งได้ด้วย โดยเอาเรื่องราวของเค้ามาทำ  (ทำไมต้อง Based on True Story ?) มันเริ่มจากการที่ผมไปเที่ยวญี่ปุ่นกับครอบครัวเมื่อปีที่แล้ว ผมมีลูกสาวสองคนทุกครั้งที่ไปญี่ปุ่นเค้าจะตื่นเต้นมาก จะมีความสุขมาก คนโตอายุ 19 คนเล็กอายุ 17 เราไปด้วยกัน 10 วัน วันแรก ๆ ลูกสาวคนโตดูสดใสร่าเริงมาก พอวันที่ 3 เค้าร้องไห้ ผมขับรถอยู่เค้าร้องไห้ ร้องไห้ไม่หยุดตาบวมตลอดวัน ผมก็งงเกิดอะไรขึ้น ภรรยาผมบอก ลูกสาวเครียดเรื่องเรียนแหละ เพราะต้องเข้ามหาวิทยาลัย จนไปถึงวันที่ 5  ผมทนไม่ไหว เกิดอะไรขึ้น สุดท้ายได้รู้ว่าอ๋อ...เค้ามีแฟน ผมมีความคิดที่ว่าก่อนจะเข้ามหาวิทยาลัยลูกไม่ควรจะไปคิดเรื่องอื่น แต่ถ้าคุณเข้ามหาวิทยาลัยแล้วผมไม่ยุ่งเลย เค้าถึงไม่กล้าบอกผม พอผมรู้ผมเรียกลูกสาวมานั่งคุยกันสองชั่วโมงกว่า เค้าเล่าให้ฟังจนเค้าบอกว่าเค้าแต่งเพลงขึ้นมาเพลงนึงบนเรื่องจริงของเค้า เลยเกิดไอเดียอ้าว...Passion ของชั้นมันกลับมา ลูกชั้นมันมาเริ่ม เลยเป็นไอเดียว่า Based on True Story เราแค่รู้สึกว่าถ้าลูกเราแต่งเพลงได้ แล้วเค้าเอาประสบการณ์ตรงของเค้ามาเล่าได้ เด็กรุ่นใหม่มีประสบการณ์ตรงอีกเยอะแยะมากมาย แล้วเค้าก็มีความสามารถในการแต่งเพลง ทำไมเราไม่กลายเป็นเวทีให้กับคนเหล่านี้ ตอนนี้ศิลปินเบอร์แรกก็คือ  นีน ณลีนา เพ็ญโรจน์ ลูกสาวของผมเอง กับเพลง  One Way Losing Game เป็นเพลงสากล มองว่ามันไปนอกประเทศได้ด้วยหรือเปล่าไม่ใช่อยู่แค่ตลาดเมืองไทย เสียงตอบรับดีครับ เชฟมาเยอะเลย เชฟอยากออกเพลงกันหมดเลย (หัวเราะ) คนที่เรากำลังเซ็นสัญญาด้วยพอเห็นงานเรา เค้าก็รู้สึกว่างานโอเค เราไม่ได้เปิดมาเพื่อที่จะทำอะไรทิ้ง ๆ ต้องให้ความสำคัญกับตัวภาพและเพลงทั้งคู่ นอกจากเพลงดีต้องทำภาพให้มันดีด้วยจะทำให้ภาพลักษณ์ของศิลปินชัดเจนมากยิ่งขึ้น หลายคนบอกมาเปิดอะไรตอนนี้ เราคิดว่าถ้าเรามี Passion แล้วสามารถอยู่ได้ คำนวณแล้วอยู่ได้ หลังจากไปพ่วงกับสิ่งที่มีอยู่มันไปได้ มันเป็นความสุขที่เราได้เจอศิลปิน อาจจะมีศิลปินเก่า ๆ ที่เคยรู้จักมาร่วมงานกัน ผมมีโปรดิวเซอร์ ม่อน (มุรธา ร่วมรักษ์) ที่มาช่วย ม่อนทำงานเรื่องเพลงกันมานานมากแล้ว เป็นคนที่คิดใกล้ ๆ กัน ก็มาทำงานด้วยกัน"

เราสงสัยว่าบริษัทเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง สนใจจะนำพา “เฮลิโคเนีย” เข้าตลาดหลักทรัพย์หรือไม่

“สำหรับผมไม่ได้มองไปถึงตลาดหลักทรัพย์ จริง ๆ ถ้าสังเกตสิ่งที่เราทำมันเป็นธุรกิจเกี่ยวกับอาร์ตเกี่ยวกับศิลปะแขนงนึง ผมเองไม่ใช่คนธุรกิจจ๋า ไม่ได้คิดจะเข้าตลาดหลักทรัพย์อะไรขนาดนั้น ผมคิดว่าทำยังไงให้บริษัทมีกำไรในระดับนึงก็เพียงพอ อยู่ในจุดที่เรายังสามารถที่จะปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอะไรของเราได้โดยที่ไม่มีคนอื่นมายุ่ง ถ้าผมเป็นนักธุรกิจร้อยเปอร์เซ็นต์ผมอาจจะไปทางนั้น แต่ผมเป็นครึ่ง ๆ ธุรกิจ 50 อาร์ตติสท์ 50  ความสบายใจเราอยู่ตรงจุดนี้ดีกว่าที่จะเข้าไป”

คิดบวกสวนทาง เมื่อใคร ๆ ต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าปีนี้เศรษฐกิจย่ำแย่

“ถ้าส่วนตัวนะ ผมมองว่าทำไมเราต้องสนใจเศรษฐกิจ ทำไมไม่สนใจแค่ตัวเรา บางครั้งไปมองเศรษฐกิจมากเกินไปมันทำให้ท้อ มองตัวเราดีกว่าว่าเราจะทำอะไรแล้วเราอยู่ได้มั้ย อย่างทีวีเนี่ยทุกคนจะบอก เฮ้ยตายแล้ว สปอนเซอร์หดหมดเลย ไม่เหลือ ผมก็ถามทีมขายผมก่อน ปีนึงงบประมาณทีวีอยู่ที่เท่าไหร่ เค้าบอกมีเป็นหมื่นเป็นพัน แล้วเราต้องการเท่าไหร่ เราต้องการเท่านี้ เพราะฉะนั้นเงินมันยังมีอยู่ เพียงแต่ว่ามันลดลง แต่สิ่งที่เราต้องการมันไม่กี่เปอร์เซ็นต์ของตลาดหรอก ผมมองในภาพบวกมากกว่า ถ้าบอกเงินไม่มี แต่เราบอกว่า เฮ้ยเราไม่ได้ต้องการเยอะ มันมีพอสำหรับเรา ถ้ามัวแต่คิดเศรษฐกิจไม่ดีอย่าทำอะไรเลย เราก็จะไม่เกิดอะไรเลย แต่ถ้าบอกเศรษฐกิจไม่ดี แต่เงินในตลาดมันยังมีพอสำหรับเรา เราอยู่ได้ โตได้ ก็โอเค”

ทุกครั้งที่ได้พูดคุยกับ "พี่หนุ่ม" เราเหมือนได้เปิดโลกอีกใบ และครั้งนี้ไม่ลืมถามวิธีคิดในแบบของ "หนุ่ม กิติกร" 

“จะทำอะไรก็แล้วแต่ สุดท้ายต้องมาจากความชอบก่อนว่าชอบอะไร ถ้าเป็นสิ่งที่เราชอบเราสนใจ แล้วเทิร์นสิ่งที่ชอบและสนใจให้กลายเป็นธุรกิจได้ เราจะไม่ได้ทำงาน แต่กำลังทำงานอดิเรกของเราอยู่ แต่ก่อนที่จะเทิร์นสิ่งนั้น ๆ ให้เป็นธุรกิจ ต้องศึกษาอย่างรอบคอบ ศึกษาทั้งโลก เดี๋ยวนี้มันง่ายมาก สมัยก่อนมีแต่หนังสืออ่าน สมัยนี้มันมีอินเตอร์เน็ตที่คุณเข้าไปดูได้ ยกตัวอย่าง ถ้าอยากทำปากกา อยากทำธุรกิจเกี่ยวกับปากกา อยู่ดี ๆ ชั้นทำเลย  คุณอาจจะตายได้ แต่ถ้าคุณเข้าไปดูในโลกมันมีปากกากี่ประเภท มันมีจุดขายอะไรของมันทั้งโลกเลย คุณอาจกลับมามอง ถ้าชั้นทำปากกาไปอาจจะเจ๊ง ชั้นควรปรับปากกาเป็นแบบนี้มันถึงจะขายได้ นี่แหละ เพราะฉะนั้นมันเริ่มจากความชอบ แล้วค่อยสร้างให้เป็นธุรกิจ เมื่อสร้างเป็นธุรกิจแล้วสำหรับผมอีกสามสิ่งที่สำคัญ หนึ่งเป้าหมายคืออะไร เป้าหมายต้องชัดเจน อันที่สองมันต้องวัดผลได้ด้วยนะ สามต้องมีกำหนดเวลาความสำเร็จที่แน่นอน" 

"หนุ่ม กิติกร" ยังทิ้งท้าย แนวคิดนี้ไม่ใช่แค่ธุรกิจเพียงอย่างเดียว แต่ใครที่ผ่านมาอ่านจนถึงบรรทัดนี้ จะหยิบไปปรับใช้กับชีวิตของตัวเองก็ทำได้ไม่ว่ากัน... 

 

ถอดแนวคิด หนุ่ม กิติกร จากเจ้าพ่อเรียลลิตี้ สู่ King of Food Content