อีกหนึ่งศิลปินสาวเสียงดีที่มาแรงแห่งยุค โบกี้ - พิชญ์สินี วีระสุทธิมาศ หรือ โบกี้ ไลอ้อน ใครจะรู้ว่าเบื้องหน้าบนเวทีที่ดูสวยเป๊ะ แต่ลึกๆ นั้นเธอเป็นคนที่ไม่มั่นใจในตัวเองอย่างมาก คิดว่าไม่สวยตั้งแต่เด็กจนโต อีกทั้งยังเป็นโรคทางจิตเวชรุมเร้า ล่าสุดออกมา เปิดใจเล่าเรื่องที่ใครหลายคนไม่เคยรู้
ปัญหาทางจิตเวชที่โบกี้เป็น เป็นอะไรบ้าง ?
โบกี้ : เป็นโรควิตกกังวล (Anxiety Disorder) , โรคภาวะตื่นตระหนกเฉียบพลัน (Panic Disorder) , โรคซึมเศร้า ( Depress ) และ โรคย้ำคิดย้ำทำ (Obsessive Compulsive Disorder)
มันมีที่มาว่าทำไมเราเป็น ของโบกี้มันเริ่มจากตัวไหนก่อน ?
โบกี้ : จริงๆ เริ่มจากอาการนอนไม่หลับก่อน คือไม่สามารถพูดได้ว่าอันไหนคืออันแรก เพราะจริงๆ น่าจะเป็นมาตลอดชีวิต แต่ไม่รู้ว่าสิ่งที่เป็นมันคือโรค โบเป็นคนแบบว่าชอบซื้อของไว้เยอะๆ สมมติชอบอะไรอย่างหนึ่งก็จะย้ำอยู่แต่แบบนั้น เช่น วันนี้ฉันจะซื้อสบู่ ในหัววันนั้นก็จะคิดซื้อสบู่ ๆ จะกดสบู่ไปเรื่อยๆ ซื้ออีกๆ ทำให้อะไรก็ตาม สบู่ แปรงสีฟัน ยาสีฟัน แม้กระทั่งต่างหูเสื้อผ้า จะมีซ้ำกันมากกว่า 10 ชิ้น ก็เราคิดว่าสิ่งนี้ปกติ ถ้าน้ำมันหมด หมดของคนอื่นอาจจะมีใกล้หมดจริงๆ ขีดแดง แต่หมดของโบคือเกินครึ่งถังแปลว่าหมด คือเป็นคนค่อนข้างล่วงหน้า อันนี้ก็คิดว่าเนี่ยอาจจะเป็นข้อดีของเรา
แล้วก็เรื่อง Depression ภาวะซึมเศร้า ก็ไม่ได้คิดว่าตัวเองเป็นหรืออะไร แต่ก็รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนไม่มั่นใจในตัวเอง เห็นคุณค่าในตัวเองต่ำมาก ไม่สามารถหาข้อดีของตัวเองได้ตั้งแต่เด็กจนโต แล้วก็เวลาขึ้นเวทีส่องกระจกทีไร รู้สึกไม่สบอารมณ์ตลอดเลย เพราะรู้สึกว่าทำไมเราน่าเกลียดอย่างงี้ตั้งแต่เด็กจนโต หาข้อเสียของตัวเองเจอตลอดเวลา เราอาจจะคิดว่าเราร้องเพลงได้แต่ว่าเราก็ร้องเพลงไม่ได้ดีขนาดนั้น บางทีอาจจะคิดว่าเราสวยแต่ว่าเราสวยเพราะเราแต่งรูปอะไรแบบนี้ มันจะหาข้อโต้แย้งมาตลอด บวกถึงเรื่องการอยู่คนเดียวแล้วมีความรู้สึกแบบการคิดสั้น ไม่รู้ว่าเรียกว่าคิดสั้นได้หรือเปล่า อยากดีไซน์การเสียชีวิตด้วยตัวเองอะไรแบบนั้น รวมถึงอาการ Panic ก็คือกลัวอะไรบางอย่าง อย่างรุนแรง เช่น กลัวตัวเองเข้าโรงพยาบาล กลัวตัวเองป่วย แล้วก็อ่อนไหวกว่าชาวบ้าน จะเกิดอาการเมื่ออยู่ในที่แคบเข้าไปในลิฟต์แล้วติดลิฟต์บ้างหรือเข้าห้องน้ำแล้วเปิดประตูไม่ออก
Anxiety กับ Panic แยกกันไหม ?
โบกี้ : สำหรับโบ ไม่ได้คล้ายขนาดนั้น แต่ก็มีตัวเชื่อมกัน Anxiety จะมาในชีวิตประจำวันโบเลยตั้งแต่เด็กจนโตโดยที่ไม่สังเกต สมมติวันนี้โบล็อกกรงหมาแล้วโบก็ออกจากบ้าน แล้วทั้งวันจะคิดอยู่แค่ล็อกกรงหมาหรือยัง ทั้งๆ ที่มันเห็นว่าล็อกแล้ว ซึ่งวิธีแก้ก็คือซื้อกล้องวงจรปิดมาดูเลย แต่บางทีมันก็ยังไม่ความไม่เชื่อตัวเองอยู่มันอาจจะเชื่อมกันหมดเลย ก็คือโรคอาจจะเป็นจิตเวชประเภทเดียวกัน
แต่ว่าอาจจะมีความแตกต่างกันในลักษณะการเจอ น่าจะมาจากความไม่มั่นใจในตัวเอง ว่าได้ทำสิ่งนั้นสำเร็จจริงหรือเปล่าก็จะมีความย้ำคิดย้ำทำกับอะไรเดิมๆ เช่น ดูกระจกตลอดเวลา ซึ่งคาแรคเตอร์การส่องกระจกบนเวทีไม่ได้มาจากความอยากเฟียซหรืออะไรทั้งนั้น มันมาจากความที่โบไม่สามารถรับได้จริงๆ คือไม่คิดว่าตัวเองสวยอยู่แล้วถ้าเลือกได้อยากเลือกเวทีที่มันเป็นกระจกรอบด้าน ในทีมผู้จัดการของโบมีอยู่ 4 คน ต่างคนต่างก็จะมีหน้าที่พิเศษ เราก็จะเชื่อใจเขา เพราะว่าเราเชื่อใจคนอื่นมากกว่าตัวเอง
ลองย้อนกลับไปคิดในวัยเด็กหรือยังว่าน่าจะมีเหตุการณ์อะไรบางอย่างที่เกิดขึ้น ?
โบกี้ : มีเยอะมาก มีทั้งสถานการณ์ในครอบครัว ไม่แน่ใจว่าที่บ้านอาจจะวางแผนมีลูกคนเดียวหรือเปล่า แล้วเราดันเป็นอีกคนที่ออกมาแล้วเราก็เกิดก่อนกำหนด มีความบกพร่องหลายๆ อย่างทางร่างกาย แล้วเราเองก็หน้าตาไม่ได้น่ารักตั้งแต่เด็ก ความไม่มั่นใจทางร่างกายก็อาจจะมีความพิเศษนิดหนึ่งก็คือ เคยโดนคนที่บ้านซ้อมตอนเด็กแล้วก็ทำให้ขาลาย เรื่องนี้ไม่ค่อยได้เล่าที่ไหนเพราะว่าตัวเองก็ไม่ได้โฟกัสเรื่องนี้ ไม่ได้อยากเรียกร้องความสงสารหรืออะไร เพราะมันผ่านมานานแล้ว
แต่ว่าเราเพิ่งฉุกคิดได้ตอนโตว่าสิ่งนี้มันคือการซ้อม แล้วก็ร่องรอยตามขาตามตัวของเราที่ไม่มั่นใจในทุกวันนี้มันก็เป็นส่วนหนึ่งในชีวิต แผลบางอย่างทั้งทางร่างกายและจิตใจมันก็เป็นแผลเป็นมาถึงตอนโตเนอะ แล้วรู้สึกว่าก่อนหน้านี้สักประมาณ 2-3 ปี โบไม่ใช่ โบกี้ไลอ้อนแบบนี้ โบเป็นคนที่ทำผมทรงเดิมๆ คือฟูๆ สิงโต แล้วเสื้อก็จะใส่แบบเดิมๆ กับกางเกงเอวสูง คือจะเป็นคนไม่ใส่กางเกงขาสั้นหรืออะไรสั้นเลย เพราะรู้สึกว่าหลังก็ต้องปิดเพราะมีรอยสิว ส่วนขาก็จะมีร่องรอยแผลเป็นเยอะมาก บางอย่างที่มันช้ำ มันก็ช้ำอยู่อย่างงั้นมาจนโต บางสิ่งที่มันหายไปแล้วบางทีก็อยู่ในใจเนอะ เรารู้สึกว่า ตอนนี้เรามีข้อบกพร่องหลายอย่างในตัว แล้วเรามองเห็นมันด้วย เราก็รู้สึกว่าปิดเถอะ
ช่วงที่ผ่านมาได้เลิกกับแฟนที่คบกันมา 6 ปี แปลว่าในช่วงที่เราเกิดในวงการเขาก็อยู่เคียงข้าง เราได้เขียนเพลงถึงเขาบ้างไหม ?
โบกี้ : ใช่ค่ะ เรื่องที่เขียนมาจากเรื่องในชีวิตทั้งหมดเลยค่ะ มีเขียนถึงแฟนด้วย แล้วก็มีเขียนถึงอะไรก็ตามที่ผ่านมาในชีวิต
เป็นคนรักแฟนแบบไหน ?
โบกี้ : หนูเป็นคนคลั่งรักนะ ใน 6 ปีมันไม่ได้มีอะไรที่แย่เลยค่ะ เราคบกันแทบไม่ได้มีการทะเลาะกัน ทะเลาะกันเรื่องเดียวคือเรื่องงาน แต่มันแค่มีความรู้สึกว่าเป้าหมายในชีวิตบางจุดไม่ตรงกัน นี่พูดตรงๆ เคยขอเขาแต่งงาน แล้วแฟนช่วงนั้นก็ไม่ได้พร้อม แต่เป็นช่วงที่เรารู้สึกจริงๆไม่พร้อมตอนนี้แล้วจะตอนไหน จริงๆ นี้เป้าหมายหลักในชีวิตนะ ไปเจอพ่อเขาก็ ป๊าคะ หนูอยากแต่งงานแล้วค่ะ หนูขอเลยได้ไหมคะ คุณแม่คะหนูขอได้เลยไหมคะ อะไรแบบนี้ แต่เขาก็น่าจะเป็นห่วงเราในเรื่องของอนาคตเรื่องการงาน เขาก็ไม่ได้เชิงปฏิเสธ
แต่ก็อารมณ์แบบว่าสมมติว่าเป็นปีนี้ มันก็จะถูกเลื่อนๆ ไป เราก็เป็นคนที่ค่อนข้างหมุนตามโลกของเขา ที่ผ่านมาก็ไม่ได้มีอะไรไม่ดี แต่ว่าสุดท้ายโบก็โทษตัวเองนะ โบแค่รู้สึกว่าพอมันผ่านอะไรมาเยอะๆแล้ว โบเองเป็นคนเลือกที่จะไม่ค่อยพูดกับเขาเท่าไหร่ พอไม่พูดมันกลายเป็นปมอะไรบางอย่างในใจ กลัวพูดแล้วเดี๋ยวจะผลกระทบแบบนี้ เสียอารมณ์กัน ก็เลยไม่มีการทะเลาะกัน ไม่มีการคุยกันด้วย เอาจริงๆ เขายังเป็นหนึ่งคนที่คอยสนับสนุนกันและกันเสมอ เขารู้จักเราในทุกจุดอ่อน ในทุกความกลัว ในทุกความฝัน เพราะฉะนั้นเราไม่เคยเกลียดแฟนเก่าเลย เราจะสนับสนุนเขาไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ถ้ามีแฟนใหม่เราก็บอก
ที่มา WOODY INTERVIEW