ภาคเอกชนตั้งโต๊ะแถลงค้านปรับขึ้นค่า "เอฟที"

รายงานข่าวแจ้งว่า  ในวันนี้ (23 ธ.ค.) คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประกอบด้วย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และสมาคมธนาคารไทย  ร่วมกับสมาคมผู้ค้าปลีกไทย สมาคมโรงแรมไทย และตัวแทนภาคธุรกิจ ร่วมกันชี้แจงผลกระทบจากการปรับขึ้นค่าเอฟที และข้อเสนอต่อรัฐบาล

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธาน ส.อ.ท. กล่าวว่า การขึ้นค่าไฟจะกระทบต่อต้นทุนการผลิตสินค้าและทำให้ผู้ประกอบการต้องส่งผ่านต้นทุนด้วยการปรับขึ้นราคาสินค้านปีหน้า โดยเฉลี่ยประมาณ 5-12%  ซึ่งขึ้นอยู่กับอุตสาหกรรมที่มีการใช้พลังงานแต่ละประเภทว่าจะมากน้อยแค่ไหน

ทั้งนี้แบ่งกลุ่มอุตสาหกรรมออกเป็น 3 กลุ่มหลักคือ กลุ่มที่มีการใช้ไฟมาก จะมีการปรับราคาเพิ่มขึ้น 9-12% อาทิ ปิโตรเคมี เหล็ก ปูนซีเมนต์

กลุ่มที่มีการใช้ไฟปานกลาง จะปรับขึ้นราคาราว 6-8% อาทิ ยานยนต์ ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ น้ำตาล ยาง และกลุ่มที่ใช้ไฟน้อย จะปรับขึ้นราคาไม่เกิน 5% อาทิ ยา เครื่องสำอาง สิ่งพิมพ์ เครื่องนุ่งห่ม

นอกจากนี้การปรับขึ้นค่าไฟครั้งนี้จะทำให้ไทยมีราคาค่าไฟสูงที่สุดในภูมิภาค ซึ่งกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของประเทศ เมื่อเทียบกับคู่แข่งอย่างเวียดนามที่มีค่าไฟ 2.88 บาทต่อหน่วยและยังมีการประกาศตรึงราคาไว้อย่างต่อเนื่อง และอาจทำให้ต่างประเทศย้ายฐานการลงทุนไปที่ประเทศเพื่อนบ้าน

นางมาริสา สุโกศล หนุนภักดี นายกสมาคมโรงแรมไทย (ทีเอชเอ) กล่าวว่า  ค่าไฟเป็นต้นทุนหลักอันดับ 2 รองจากค่าจ้างพนักงาน ประกอบกับช่วงนี้ ภาคท่องเที่ยวยังอยู่ในช่วงการฟื้นตัวด้านรายได้ หลังเผชิญวิกฤติโควิด-19 มานาน 3 ปี มีปัญหาหนี้สินจากการขาดทุนระยะยาว  นักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่งกลับมาดีขึ้นในเดือน พ.ย.ที่ผ่านมา ดีมานด์การเดินทางยังไม่ฟื้นตัว 100%

ขณะที่ซัพพลายโรงแรมที่พักยังเท่าเดิม  และต้องเสี่ยงกับความไม่แน่นอนต่างๆ ทำให้ธุรกิจโรงแรมส่วนใหญ่ยังต้องเผชิญการแข่งขันสูง ลดราคาห้องพักแข่งกันเพื่อดึงลูกค้า ไม่สามารถขึ้นราคาห้องพักตามต้นทุนที่สูงขึ้น หรือผลักภาระแก่ลูกค้าได้

นอกจากนี้สมาคมฯ ยังอยากให้รัฐบาลสนับสนุนเงินทุนแก่ภาคธุรกิจโรงแรม เช่น ซื้อเครื่องจักรหรือเทคโนโลยีที่สามารถช่วยลดต้นทุนค่าไฟได้ รวมถึงออกมาตรการลดหย่อนภาษีกระตุ้นให้ผู้ประกอบการลงทุนด้านการใช้พลังงานทางเลือกอื่นๆ เพิ่มขึ้น