นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า เศรษฐกิจปีหน้าขยายตัว 3.6% ปัจจัยที่เป็นแรงขับเคลื่อนมาจาก ภาคการท่องเที่ยวคาดว่านักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาประเทศไทยทั้งปี ประมาณ 22 ล้านคน
ขณะที่ภาคการส่งออกโตเพียง 1-1.2 % จะไม่ใช่พระเอกในการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยคาดหวังในช่วงครึ่งปีหลังเศรษฐกิจโลกดีขึ้นส่งผลดีต่อการส่งออกไทย
สำหรับปริมาณการค้าโลก ขยายตัว 2.5% เศรษฐกิจโลก ขยายตัว 2.7% จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ 22-24 ล้านคน อัตราแลกเปลี่ยน 35.95 บาทต่อดอลลาร์ ราคาน้ำมันดิบดูไบ 92.50 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล อัตราดอกเบี้ยนโยบาย 1.25-2.00%
ส่วนในปี 65 จีดีพีขยายตัว 3.3% โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการขยายตัวของนักท่องเที่ยว คาดว่าสิ้นปีนี้นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาประเทศไทยประมาณ 11 ล้านคน คิดเป็นเม็ดเงิน 5.4 แสนล้านบาท ซึ่งจะส่งผลต่อการกระตุ้นและการจับจ่ายซื้อสินค้า
นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยมาจากการส่งออก การบริโภคของภาคเอกชน รวมไปถึงราคาสินค้าเกษตรดีขึ้นเกือบทุกรายการ ขณะที่ การลงทุนยังฟื้นตัวไม่ชัดเจน ขณะที่ส่งออกขยายตัว 8% เงินเฟ้อ 6.1% อัตราว่างงาน อยู่ที่ 1.28% หนี้สินภาครัวเรือนต่อจีดีพี อยู่ที่ 86.3%
สำหรับปัจจัยบวกที่มีผลต่อเศรษฐกิจไทยในช่วงที่เหลือของปี 65 และต่อเนื่องไปปี 66 คือ การแพร่ระบาดของโควิด-19 ปรับตัวดีขึ้นและปรับเป็นโรคประจำถิ่น การกลับมาขอให้นักท่องเที่ยวต่างชาติและการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว
การใช้จ่ายของภาคเอกชนมีสัญญาณการฟื้นตัวอย่างชัดเจน รายได้ของเกษตรกรยังคงขยายตัวได้ดีต่อเนื่อง และการเลือกตั้งทั่วไปในปี หน้า คาดว่าจะเกิดขึ้นไตรมาส 2/66 ส่งผลให้เกิดเงินหมุนเวียนในการกระตุ้นเศรษฐกิจ
ส่วนปัจจัยลบที่มีผลต่อภาวะเศรษฐกิจยังคงเป็นสงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครนที่ทำให้ราคาน้ำมันสินค้าโภค ภัณฑ์และอัตราเงินเฟ้อผู้สูงขึ้น ธนาคารกลางประเทศต่างๆถูกกดดันให้ปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย
เศรษฐกิจโลกมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดภาวะถดถอย ความไม่แน่นอนในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน ความผันผวนของตลาดเงินและตลาดทุนโลกทำให้อัตราแลกเปลี่ยนของประเทศไทยเคลื่อนไหวผันผวน ความไม่แน่นอนของสถานการณ์ตึงเครียดระหว่างสหรัฐและจีนทำให้การเข้าถึงสินค้าทุนลดลงส่งผลต่อการค้าโลก
อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจโลกจะทยอยกลับมาฟื้นตัวได้ตั้งแต่ในช่วงปลายไตรมาสที่ 3 เนื่องจากคาดว่าราคาน้ำมันและเงินเฟ้อจะไม่สูงขึ้นแล้ว และในช่วงครึ่งปีหลังการลงทุนของภาครัฐจะมีความชัดเจนมากขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่EEC มีผลโดยตรงต่อเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลัง