svasdssvasds
เนชั่นทีวี

เศรษฐกิจ

"SCB CIO" แนะปรับพอร์ตลงทุนรับมือ "เศรษฐกิจโลก" ผันผวน

02 ธันวาคม 2565
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

SCB CIO มองเศรษฐกิจโลกในปีหน้าคาดว่าซบเซา  แม้เงินเฟ้อในหลายประเทศจะชะลอตัวลง แต่ธนาคารกลางส่วนใหญ่ยังคงดอกเบี้ยสูง  มองกลุ่มยูโรโซน-อังกฤษมีความเสี่ยงด้านวิกฤติพลังงาน  แนะปรับพอร์ตการลงทุน เพิ่มผลตอบแทนในกระเป๋า

ดร.กำพล  อดิเรกสมบัติ  ผู้อำนวยการอาวุโส และหัวหน้าทีม SCB Chief Investment Office (SCB CIO)    ธนาคารไทยพาณิชย์  จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า SCB CIO ประเมินภาพเศรษฐกิจโลกในปี  2023  มีความเสี่ยงต่อภาวะเศรษฐกิจถด ถอยสูงขึ้น  จากปัจจัยดอกเบี้ยและเงินเฟ้อที่สูงขึ้น    โดยมี 6 ประเด็นที่น่าสนใจ ดังนี้ 

1. อัตราเงินเฟ้อผ่านจุดสูงสุดแล้วในหลายประเทศ แต่ยังปรับตัวลดลงช้า และยังเกินเป้าหมายของธนาคารกลางหลัก เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานปรับลดลงช้า ทำให้การบริหารจัดการเรื่องเงินเฟ้อยังเป็นประเด็นหลักที่ธนาคารกลางต้องทำนโยบายการเงินแบบตึงตัว

2. อัตราดอกเบี้ยจะปรับตัวเพิ่มขึ้นแบบช้าลง (slower rate hike) ในช่วงครึ่งแรกของปี  2023 และจะเริ่มหยุดขึ้นดอกเบี้ยในช่วงครึ่งปีหลัง แต่ยังคงอยู่ในระดับสูงจนกว่าเงินเฟ้อจะกลับเข้าสู่เป้าหมาย 

โดยในการกำหนดทิศทางนโยบายการเงิน   SCB CIO คาดว่าในช่วงครึ่งปีแรก ธนาคารกลางหลักจะยังคงให้น้ำหนัก กับประเด็นเงินเฟ้อสูงเป็นหลัก และในช่วงครึ่งหลังจะเริ่มมาให้น้ำหนักการชะลอตัวของเศรษฐกิจมากขึ้น

ส่วนของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)  คาดการณ์ว่าจะปรับขึ้นดอกเบี้ยอีกในอัตรา 0.50 bps. สู่ระดับ 4.50% ในการประชุมระหว่างวันที่  13-14 ธันวาคมนี้  และคาดว่าใน 3 การประชุมแรกของปี  2023 จะปรับขึ้นอีกครั้งละ 25 bps. แล้วคงดอกเบี้ยที่ 5.25% ต่อเนื่องจนถึงปลายปี 2023

 

สำหรับในส่วนของธนาคารแห่งประเทศไทย ในปี 2023 เราคาดว่าจะมีการขยับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายได้อีก 50 bps. เป็น 1.75%  ซึ่งเป็นระดับสูงที่สุดก่อนเกิด COVID-19

สาเหตุที่ขยับขึ้นดอกเบี้ยได้ไม่มากนักเนื่องจาก  ค่าเงินบาทที่มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นในปี 2023 เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ภาวะการเงินตึงตัวขึ้น (โดยจากค่าเงิน US Dollar index ที่เริ่มชะลอการแข็งค่า ร่วมกับแนวโน้มการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวและการกลับมาเกินดุลบัญชีเดินสะพัดของไทย

ทั้งนี้ได้ปรับประมาณการค่าเงินบาทปลายปี 2022F ที่ 35-36 และปลายปี 2023F ที่ 34-35 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ) และ  การเริ่มกลับมาเก็บเงินนำส่งเข้ากองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF) ในอัตราเดิม 0.46% จากที่เคยปรับลดลงเหลือ 0.23% ในช่วงวิกฤต COVID-19  ซึ่งจะทำให้ธนาคารพาณิชย์ต้องส่งผ่านต้นทุนส่วนหนึ่งไปยังภาคธุรกิจและครัวเรือนผ่านดอกเบี้ยที่สูงขึ้นด้วย

3.ผลจากอัตราเงินเฟ้อและดอกเบี้ยในระดับสูงทำให้เกิดภาวะการชะลอลงของเศรษฐกิจหลักอย่างมีนัยและพร้อมเพรียงกัน (Synchronized and serious slowdown) โดย SCB CIO เชื่อว่า ยูโรโซน และอังกฤษ ยังเป็น 2 กลุ่มเศรษฐกิจหลักที่มีความเสี่ยงเศรษฐกิจถดถอยแบบรุนแรงสูง จากผลของสงครามรัสเซีย-ยูเครน และวิกฤตด้านพลังงาน

ขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีความเสี่ยงด้านนี้ต่ำกว่าจากความแข็งแกร่งของตลาดแรงงานและภาคครัวเรือนและธุรกิจที่มีการก่อหนี้ต่ำเมื่อเทียบกับการเกิดเศรษฐกิจถดถอยรุนแรงครั้งก่อนๆ

    

4.การชะลอตัวของเศรษฐกิจและการประท้วงจะเป็นหนึ่งในปัจจัยกดดันให้ทางการจีนยกเลิก Zero Covid Policy ในปี 2023 แต่การเปิดเมืองเปิดประเทศน่าจะเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งจะเป็นผลบวกต่อเศรษฐกิจจีนและเศรษฐกิจที่พึ่งพาการค้า การลงทุนและนักท่องเที่ยวจีน โดยเฉพาะในช่วงครึ่งหลังของปี

5.ความไม่แน่นอนด้านภูมิรัฐศาสตร์จากทั้งสงครามรัสเซีย-ยูเครน และ ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ และจีน รวมถึงความไม่แน่นอนด้านนโยบายเศรษฐกิจยังมีแนวโน้มอยู่ในระดับสูง ซึ่งจะทำให้ความผันผวนในตลาดการเงินโลกยังมีแนวโน้มสูงต่อไป   

6. การเปลี่ยนแปลงห่วงโซ่อุปทานการผลิตของโลกจะยิ่งเร็วขึ้น ตามกระแส Geopolitics, ESG, และ Digital innovation โดยปัจจัยด้านความยืดหยุ่นและแข็งแกร่ง (resiliency) และด้านความมั่นคง (security) จะถูกนำมาพิจารณาร่วมกับปัจจัยด้านประสิทธิภาพ (efficiency) มากขึ้น

สำหรับกลยุทธ์การลงทุนในปี 2023 เน้นการลงทุนแบบระมัดระวังและ กระจายการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีคุณภาพสูง   เราจึงยังคงแนะนำถือเงินสดหรือลงทุนในผลิตภัณฑ์การลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำ 5-15% ของพอร์ตโฟลิโอ   แนะสะสมพันธบัตร/หุ้นกู้ โดยทยอยเพิ่ม Duration แต่เน้นที่มีคุณภาพสูง   SCB CIO  เชื่อว่าในภาวะเศรษฐกิจดังกล่าวนักลงทุนควรเน้นลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนจากกระแสเงิน (Yield) มากกว่าผลตอบแทนจากส่วนต่างราคา (capital gain)

ส่วนการลงทุนในตลาดหุ้นยังต้องระวังกับดักด้านมูลค่า (Valuation trap: P/E ) ต่ำจากราคาที่ปรับลง แต่กำไรในอนาคตมีความเสี่ยงที่จะถูกปรับลงเช่นกัน  สำหรับนักลงทุนที่รับความผันผวนได้ แนะนำทยอยสะสมหุ้นไทยและอินโดนีเซีย ที่มีแนวโน้มการฟื้นตัวของรายได้และกำไรต่อเนื่อง จากอานิสงส์การฟื้นตัวของกำลังซื้อภายในประเทศ

อย่างไรก็ตาม  เศรษฐกิจโลกมีความเสี่ยงถดถอย แต่การเปิดเมืองของจีนและการลดกำลังการผลิตของOPEC ยังเป็นปัจจัยสนับสนุนราคาน้ำมันโลก  การปรับขึ้นดอกเบี้ยแบบช้าลงของเฟด ส่งผลให้แรงกดดันค่าเงินของกลุ่มประเทศ Emerging Markets เริ่มชะลอลง โดยเฉพาะในประเทศที่ดุลบัญชีเดินสะพัดเริ่มกลับมาเกินดุล เช่น ไทย ทำให้การป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนมีความจำเป็นมากขึ้น

 

logoline