
หลังจากที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ต่อเนื่องตั้งแต่เดือนสิงหาคม จนทำให้ปัจจุบัน อัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยยืนอยู่ที่ 1% ซึ่งปัจุบันพบว่าทั้งธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐต่างออกแคมเปญเงินฝากที่ดอกเบี้ยสูงเพื่อจูงใจลูกค้ามากขึ้น
โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยว่า ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2565 แคมเปญเงินฝากพิเศษออกใหม่ของ ธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ มีจำนวนกว่า 20 แคมเปญ และมีผลตอบแทนสูงกว่าเดิมประมาณ 0.36-1.00% สอดคล้องกับอัตราผลตอบแทนในตลาดตราสารหนี้ที่เพิ่มขึ้นเช่นกัน
โดยการแข่งขันด้านราคาเงินฝากที่เริ่มปรากฏชัดเจนนี้คาดว่าจะมาจากหลายสาเหตุ ได้แก่
1)การส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างต่อเนื่องของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.)
2)ทิศทางสินเชื่อที่ยังขยายตัวสูงกว่าอัตราเงินฝาก
3)ปริมาณสภาพคล่องส่วนเกินที่ทยอยลดลง โดยสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากการปรับพอร์ตการลงทุนในตราสารหนี้ ประกอบกับผู้ฝากเงินอาจปรับเปลี่ยนการออมเงินในรูปเงินฝากบางส่วนไปลงทุนในหุ้นกู้
4)การออกแคมเปญเพื่อรักษาฐานลูกค้าเงินฝากกลุ่มต่างๆ ตามนโยบายของธนาคารพาณิชย์แต่ละแห่ง เช่นแคมเปญเงินฝากระยะยาวที่อัตราดอกเบี้ยปรับขึ้นในลักษณะขั้นบันไดสำหรับรองรับวัยเกษียณ หรือรับดอกเบี้ยเงินฝากคืนในลักษณะรายเดือน
นอกจากนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่าในอนาคตอัตราดอกเบี้ยเงินฝากน่าจะปรับสูงขึ้นอีกจากแรงส่งทั้งการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยนโยบายและอัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ ทำให้มีโอกาสที่จะเห็นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากปรับขึ้นมากกว่า 0.50% ภายในช่วงไตรมาสแรกของปี 2566
ส่วนประมาณการเงินฝากของระบบธนาคารพาณิชย์จดทะเบียนในประเทศ ณ สิ้นปี 2565 นี้ คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 3.5-3.7% ก่อนที่จะขยับขึ้นเล็กน้อยมาอยู่ในกรอบประมาณ 4.0-5.5% ในปี 2566 ตามทิศทางเศรษฐกิจที่น่าจะทยอยฟื้นตัว และการเตรียมสภาพคล่องเพื่อรองรับการเติบโตของสินเชื่อ
“แม้การแข่งขันดอกเบี้ยเงินฝากจะเริ่มมีมากขึ้น แต่ด้วยเงินเฟ้อที่คาดว่าจะมีค่าเฉลี่ยสูงกว่า 2.5% ในปีหน้า ก็ยังทำให้การออมในรูปของเงินฝาก โดยเฉพาะเงินฝากระยะสั้น ยังให้ผลตอบแทนที่ติดลบ จึงอาจพิจารณากระจายการลงทุนไปสินทรัพย์อื่นๆ อาทิ กองทุนรวม ตราสารหนี้ หรือแม้กระทั่งตราสารทุน เพื่อให้ได้ส่วนผสมของพอร์ตการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนโดยรวมเพิ่มขึ้น”