นายวีระพล จิรประดิษฐกุล ผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงาน อดีตกรรมการกำกับกิจการพลังงาน ( กกพ) กล่าวถึงสถานการณ์ค่าไฟในช่วงที่ผ่านมาว่า การปรับขึ้นค่าไฟมีปัจจัยที่เกี่ยวข้องทั้งปัจจัยภายในและภายนอก อยู่ด้วยกัน 3 ปัจจัย ได้แก่ ปัจจัยแรกการขุดเจาะก๊าซธรรมชาติจากอ่าวไทย เป็นช่วงเปลี่ยนผ่านผู้รับสัมปทานจาก บริษัทเดิม มาเป็นบริษัท ปตท สผ. ทำให้กำลังการผลิตลดลง ในขณะเดียวกัน แก๊สธรรมชาติจากเมียนมาก็น้อยกว่าแผนที่คาดการณ์ไว้ ทำให้ต้องนำเข้าก๊าซแอลเอ็นจี ( LNG) จากต่างประเทศเข้ามาผลิตไฟฟ้าแทนจากเดิมที่เคยนำเข้าเพียง 6 – 8% แต่ปัจจุบันเพิ่มขึ้นเป็นเกือบ 20%
อย่างไรก็ตามแม้รัฐบาลจะให้โรงไฟฟ้าหลายโรงหันมาใช้น้ำมันดีเซล หรือ น้ำมันเตา ผลิตไฟฟ้า แทนแก๊สธรรมชาติและก๊าซแอลเอ็นจี เพราะราคาถูกกว่า ทำให้ควบคุมต้นทุนค่าไฟฟ้าไว้ได้ระดับหนึ่ง แต่โรงไฟฟ้าบางส่วนยังไม่สามารถใช้น้ำมันดีเซล หรือน้ำมันเตาเป็นเชื้อเพลิงได้ จึงจำเป็นต้องนำเข้าก๊าซแอลเอ็นจีมาทดแทนในปริมาณที่สูงเช่นเดิม
ปัจจัยที่สอง เกิดจากนำเข้าก๊าซแอลเอ็นจีของประเทศไทยที่เพิ่มขึ้นเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับราคาก๊าซแอลเอ็นจีในตลาดโลกปรับสูงขึ้น เนื่องจากสถานการณ์สงครามยูเครน-รัสเซีย ทำให้ราคาก๊าซแอลเอ็นจีพุ่งสูงขึ้นมาเป็น 40-50 เหรียญต่อล้านบีทียู จากเดิมที่ราคา 10เหรียญต่อล้านบีทียูเท่านั้น
และปัจจัยสุดท้ายคือ ค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลง โดยเคยอ่อนค่าลงถึง 38 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งค่าบาทที่อ่อนลงทุกๆ 1 บาท ทำให้ค่าไฟสูงขึ้นประมาณ 5-6 สตางค์ต่อหน่วย
“ ในปีหน้าคิดว่ายังเป็นช่วงขาขึ้นของราคาค่าไฟ เพราะราคาก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยจะอิงกับราคาน้ำมันเตาย้อนหลังประมาณ 1 ปี ฉะนั้นราคาก๊าซต้นปีหน้าจะสูงกว่าต้นปีนี้ ขณะที่ราคาซื้อขายก๊าซแอลเอ็นจีล่วงหน้าในปีหน้าก็มีโอกาสปรับขึ้นได้อีก” นายวีระพล กล่าว