เกือบ 3 ปี นับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2563 ที่บรรดาร้านค้า ห้างค้าปลีกขนาดใหญ่ รวมถึงร้านสะดวกซื้อ งดแจกถุงพลาสติกตามนโยบายของภาครัฐที่ต้องการเลิกใช้ถุงพลาสติก เพื่อแก้ไขปัญหาขยะพลาสติกของประเทศไทยซึ่งถูกจัดอันดับว่าเป็นสาเหตุของมลภาวะอันดับต้นๆ ของโลก
ในทางกลับกันเสียงจากผู้บริโภคที่มองว่านี่คือการลิดรอนสิทธิในการได้รับบริการถุงพลาสติกเมื่อซื้อสินค้าจากห้างร้าน ขณะเดียวกันนโยบายเชิงบังคับยังไม่มีทางเลือกอื่นๆ เพื่ออำนวยความสะดวกของผู้บริโภคนอกจากต้องเสียเงินเพิ่มซื้อถุงจากห้างร้านใส่ของกลับบ้าน
ทีมข่าวลงพื้นที่สำรวจความคิดเห็นประชาชนบอกว่าเห็นด้วยกับการงดแจกถุงพลาสติกเพราะเป็นการช่วยลดขยะในประเทศ ลดโลกร้อนได้ส่วนหนึ่ง แต่ห้างสรรพสินค้า ร้านสะดวกซื้อ ไม่ควรขายถุงพลาสติก ควรมีบริการถุงผ้า หรือถุงที่สามารถนำกลับมาใช้ซ้ำได้ทดแทนให้กับลูกค้าโดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเพื่ออำนวยความสะดวกในกรณีที่ลูกค้าลืมเตรียมถุงมา เนื่องจากบางครั้งไม่ได้ตั้งใจไปซื้อสินค้า แต่ไม่ได้เตรียมถุงมาเอง เกิดความยากลำบากในการขนสินค้ากลับบ้านซึ่งมองว่าเป็นการผลักภาระให้ผู้บริโภค
จากข้อมูลของกรมควบคุมมลพิษ ระบุว่า ปริมาณการใช้ถุงพลาสติกหูหิ้วในไทยมีมากถึง 45,000 ล้านใบต่อปี โดยที่มาของถุงพลาสติกเหล่านี้มาจาก 3 แห่งหลัก ๆ คือ 40% มาจากตลาดสดเทศบาล เอกชน และแผงลอยคิดเป็นจำนวน 18,000 ล้านใบต่อปี 30% มาจากร้านขายของชำจำนวน 13,500 ล้านใบต่อปี
และอีก 30% มาจากห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้า ซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านสะดวกซื้อ จำนวน 13,500 ล้านใบต่อปี และยังพบอีกว่าพื้นที่กรุงเทพฯ ใช้ถุงพลาสติกเฉลี่ยคนละ 8 ใบต่อวัน ทำให้มีขยะพลาสติกมากถึง 80 ล้านใบต่อวัน
จึงเป็นที่มาของโรดแมปการจัดการขยะพลาสติกของประเทศไทยปี 2561-2573 เป้าหมายแรกต้องลด เลิกใช้พลาสติก และใช้วัสดุทดแทนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ยกเลิกใช้พลาสติกหูหิ้ว กล่องโฟมบรรจุอาหาร หลอดพลาสติก เป้าหมายที่ 2 การนำขยะพลาสติกเป้าหมายกลับมาใช้ประโยชน์ 100% ภายในปี 2570 คาดการณ์ว่าจะลดปริมาณขยะพลาสติกได้ประมาณ 0.78 ล้านตันต่อปี และสามารถประหยัดงบประมาณในการจัดการขยะมูลฝอยได้ประมาณ 3.9 พันล้านบาทต่อปี