
ปี 2568 ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) มีผลงานการจับกุมคดีสำคัญหลายคดี ซึ่งหลายคดีเป็นคดีอาชญากรรมที่สร้างความเสียหายทั้งชีวิต ทรัพย์สิน และจิตใจของประชาชนที่ได้รับผลกระทบ ซึ่งตลอดปีที่ผ่านมา สามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ทั้งหมด 29,413 คดี หากคิดเฉลี่ยเป็นรายวัน สามารถจับกุมได้
80 กว่าคดีต่อวัน
1. สะเทือนวงการสงฆ์ ที่เรียกได้ว่าเขย่าวงการผ้าเหลืองอย่างหนัก กองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.) สนธิกำลังกับ ป.ป.ท.และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เปิดปฏิบัติการ‘นารีพิฆาตพระ’ จับกุม น.ส.วิลาวัลย์ฯ หรือ ‘สีกากอล์ฟ’ คาบ้านพักย่านนนทบุรี ในข้อหา สนับสนุนเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ-รับของโจร-ฟอกเงิน หลังพบเสพเมถุนกับพระ 9 รูป ขณะที่เงินในบัญชีสีกากอล์ฟ พบหมุนเวียน 385 ล้านบาทในรอบ 3 ปี เส้นเงินส่วนใหญ่พบเกี่ยวข้องกับเว็บพนัน
คดีนี้เป็นความร่วมมือระหว่างหน่วยงานจนนำไปสู่การเปิดความลับของการกระทำผิดวินัยสงฆ์ของพระผู้ใหญ่หลายวัดดัง เริ่มเรื่องตั้งแต่วันที่ 18 มิ.ย.68 สีกากอล์ฟมีลักษณะการกรรโชกทรัพย์ อดีตเจ้าอาวาสวัดตรีทศเทพฯ ก่อนจะย้อนข้อมูลพบว่า ทั้งคู่มีความสัมพันธ์กันจริง ตั้งแต่ช่วงพ.ค.67 ก่อนจะห่างกันไป กระทั่งฝ่ายหญิงพยายามเรียกค่าเลี้ยงดู รวมกว่า 7 ล้านบาท อดีตเจ้าอาวาสฯจึงตีตัวออกห่าง ก่อนที่เรื่องราวจะถูกเปิดเผยออกมา
นำไปสู่การสืบสวนพบเส้นทางการเงินระหว่างหญิงผู้นี้เกี่ยวข้องกับพระหลายวัด จึงนำไปสู่การเปิดปฏิบัติการดังกล่าว พร้อมเข้าตรวจค้นบ้านของสีกากอล์ฟตรวจยึดหลักฐานทางคดีได้มากมาย หนึ่งในจำนวนนั้น พบภาพและคลิปพระอีกหลายรูป ที่ผู้ต้องหาเตรียมไว้กรรโชกทรัพย์หรือแบล็คเมล์
สีกาคือสารตั้งต้น เช่นเดียวกับคดีการจับกุมทิดแย้ม อดีตเจ้าอาวาสวัดไร่ขิง หลังพบยักยอกเงินวัดหลายร้อยล้านบาท ก่อนพบโอนเข้าบัญชีของ น.ส.อรัญญาวรรณ หรือสีกาเก็น ที่มีความสัมพันธ์กัน และเป็นผู้ต้องหาในคดีเว็บพนันออนไลน์ คดีนี้เป็นผลงานของ กองบังคับการปราบปราม ร่วมกับ กองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.) ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หลังได้รับหนังสือร้องเรียนพฤติกรรมไม่ชอบมาพากลของอดีตเจ้าอาวาสวัดไร่ขิง ตำรวจกองปราบจึงส่งสายลับแฝงตัวเข้าใช้ชีวิตในวัดไร่ขิงนาน 8 เดือน เฝ้ารวบรวมหลักฐานจนสุดท้ายศาลออกหมายจับ ตรวจพบว่าบัญชีธนาคารที่เกี่ยวข้อง 51 บัญชี พบอดีตเจ้าอาวาส 21 บัญชี สีกาเก็น 12 บัญชี และอื่นๆ โดยบัญชีของสีกาเก็น มีเงินหมุนเวียน 2,000 ล้าน ซึ่งในจำนวนนี้เกี่ยวข้องกับเครือข่ายพนันออนไลน์ นอกจากนี้ตำรวจยังมีหลักฐานภาพ เสียง และคลิปส่วนตัวระหว่างอดีตเจ้าอาวาสฯ กับสีกาเก็น ที่ยืนยันความสัมพันธ์ลึกซึ้ง ซึ่งอาจถูกใช้เป็นเครื่องมือแบล็กเมล์ เพื่อรีดเงินตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา
2. ตำรวจกองบังคับการปราบปราม ร่วมกับ กองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.) จับกุมตัว นายอลงกต อดีตเจ้าอาวาสวัดพระบาทน้ำพุ และ “หมอบี ทูตสื่อวิญญาณ”หรือ นายเสกสันน์ฯ กรณีทุจริตยักยอกเงินบริจาคของวัดพระบาทน้ำพุ หลังมีผู้ร้องเรียนต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจกก.1 บก.ป.ว่า นายเสกสันน์ฯ หรือ หมอบี ที่เปิดขอรับบริจาคเงินผ่านโซเชียลมีเดีย เฟซบุ๊กชื่อเพจ “งมงาย สไตล์หมอบี” ได้อ้างว่าตนเป็นสะพานบุญ ชวนทุกคนร่วมทำบุญ เพื่อส่งมอบให้กับวัดพระบาทน้ำพุ ในการนำไปใช้ช่วยเหลือผู้ป่วยโรคเอดส์และตามวัตถุประสงค์ต่างๆของวัดพระบาทน้ำพุ
แต่ในความเป็นจริงแล้วหมอบี กลับมีพฤติการณ์ทุจริตเงินบริจาคของวัดดังกล่าว สืบสวนจนพบว่านอกจากหมอบีจะไม่ได้นำเงินที่ได้จากการบริจาคไปมอบให้กับวัดพระบาทน้ำพุทั้งหมดตามที่กล่าวอ้างแล้ว ยังมีการนำเงินไปมอบให้นายอลงกตฯ ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสในขณะนั้น และไม่ได้ถูกนำเข้าระบบของวัดอย่างถูกต้อง แต่นายอลงกตฯ กลับนำเงินดังกล่าวไปใช้เป็นประโยชน์ส่วนตน ซึ่งตั้งแต่ปี 2562 ถึงปี 2568 มีประชาชนผู้มีจิตศรัทธาโอนเงินเข้าบัญชีดังกล่าวกว่า 300 ล้านบาท จึงนำไปสู่การรวบรวมพยานหลักฐาน เข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย 17 จุด พร้อมจับกุมผู้ต้องหาทั้งสองราย
ล่าสุดเมื่อเดือน พ.ย.68 ตำรวจ CIB ขยายผลจนนำไปสู่ Operation Endgame ปฏิบัติการ “คืนศรัทธา บอกลางมงาย สไตล์ CIB” ทวงคืนทรัพย์สินสู่วัดพระบาทน้ำพุ สามารถติดตามทรัพย์สินที่ถูกนำไปซุกซ่อนในชื่อบุคคลอื่นกลับคืนมาให้วัดได้อีกจำนวนมหาศาล ประกอบด้วย โฉนดที่ดินและเอกสารสิทธิ์รวมกว่า 7,200 ไร่ และยานพาหนะอีก 60 คัน คิดเป็นมูลค่ารวมกว่าหมื่นล้านบาท
3. กองบังคับการปราบปราม เปิดปฏิบัติการ Cut Down Scam สยบเครือข่ายค้าข้อมูลส่วนบุคคล 9 ล้านรายชื่อ ต้นตอสแกมเมอร์ หลอกคนไทยเสียหายกว่า 290 ล้านบาท เป็นความร่วมมือภายใต้ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส.) หรือ PDPC ร่วมกับ ศูนย์ต่อต้านการฉ้อโกงออนไลน์ (ACSC) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ทลายเครือข่ายขายข้อมูลประชาชนที่ถูกใช้ไปสนับสนุนแก๊งคอลเซ็นเตอร์และสแกมเมอร์ หลังเจ้าหน้าที่พบความผิดปกติของการซื้อขายข้อมูล
นำไปสู่การที่ตำรวจ กก.4 บก.ป. จับกุม 6 ผู้ต้องหา พร้อมรายชื่อข้อมูลประชาชนกว่า 9 ล้านรายชื่อ พบมีประชาชนถูกหลอกแล้วกว่า 4,000 คน เสียหายกว่า 290 ล้านบาท ซึ่งปฏิบัติการดังกล่าว เป็นอีกหนึ่งทางการ “ตัดวงจรสแกมเมอร์” ทั้งต้นทางและปลายทาง โดยเจ้าหน้าที่จะยังคงเดินหน้าปราบปรามอย่างจริงจังต่อไป
4. กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) เปิดปฏิบัติการ “9.9 FAKE COMPANY” ทลายแก๊งบริษัทผีจีนเทา หลอกลงทุนเทรดหุ้นรวบ15 ผู้ต้องหา (คนไทย 14 ราย, คนจีน 1 ราย) หลังเมื่อเดือน พ.ค.68 หลอกผู้เสียหายลงทุน
เทรดหุ้น พร้อมหลอกให้กรอกเบอร์โทร และไอดีไลน์ผ่านเว็บไซต์ปลอมเพื่อร่วมลงทุน จากนั้นติดต่อทางไลน์มาหา อ้างว่าเป็นเลขาฯ ของอาจารย์นิติ โอสถานุเคราะห์ นักลงทุนชื่อดังในไทย เพื่อดูแลเรื่องการลงทุนให้ ชักชวนเข้ากลุ่ม LINE OPENCHAT ที่มีหน้าม้าคอยพูดคุยแนะนำการลงทุนต่างๆ
ผ่านไป เดือนกว่าๆ เริ่มวางแผนเชือดเหยื่อด้วยการเสนอโปรเจกต์การลงทุนซื้อขายหุ้น พร้อมทั้งได้สอนวิธีการลงทุนผ่านเว็บไซต์ FINNIXMAX โดยเสนอหุ้นรายตัว พร้อมเป้าหมายการทำกำไร ผู้เสียหายหลงเชื่อ โอนเงินลงทุนผ่านบัญชีม้านิติบุคคล ล่อลวงด้วยการให้กำไรพร้อมให้ถอนเงินออกจากระบบได้จริง ที่มาของการลงทุนเพิ่มอย่างต่อเนื่อง ก่อนเหยื่อหลวมโอนไปจำนวนมาก เข้าทางกลุ่มคนร้าย บล็อกช่องทางติดต่อ หนีหาย ก่อนตำรวจ กก.2 บก.ปอท. ตามรวบไว้ได้ 15 ผู้ต้องหาทั้งไทยและจีน พร้อมของกลาง มูลค่าประมาณ 21 ล้านบาท
5.กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.) เปิดปฏิบัติการ “Operation Crypto Phantom” กวาดล้างเครือข่ายแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลผิดกฎหมาย เงินหมุนเวียนกว่า 14,000 ล้านบาท เข้าตรวจค้น 8 จุด ในพื้นที่ จ.ภูเก็ต จ.ชลบุรี และ กรุงเทพ มีทั้งอาคารพานิชย์ , บ้าน และบริษัทรับแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัล หลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.3 บก.ปอศ. พบว่า ในพื้นที่ กรุงเทพ จังหวัดชลบุรี และจังหวัดภูเก็ต มีร้านรับแลกเปลี่ยนเงินตราแอบแฝงการให้บริการแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลประเภท USD Tether (USDT) แบบ “ชนมือ” หรือการแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัล โดยไม่ได้ผ่านศูนย์แลกเปลี่ยนที่ได้รับอนุญาตตามกฎหมาย
พบธุรกรรมมากกว่า 1,000 รายการ เชื่อมโยงกับเครือข่ายอาชญากรรม และมีเงินหมุนเวียนรวมสูงถึง 425,104,595 USDT หรือคิดเป็นมูลค่ากว่า 14,000 ล้านบาท นำไปสู่ปฏิบัติการดังกล่าวพบ ผู้กระทำผิด อยู่ระหว่างการดำเนินคดี 5 ราย พบพฤติกรรมของเครือข่ายนี้มีลักษณะเป็นการเปิด “โต๊ะแลกคริปโต” ให้ลูกค้าชาวต่างชาติใช้เงินบาทแลกเหรียญดิจิทัล หรือแลก USDT กลับเป็นเงินบาท แบบไม่ผ่านระบบ Exchange ที่ได้รับอนุญาต ซึ่งนำไปสู่การฟอกเงินในต่างประเทศผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัลและ Exchange ต่างชาติ ก่อนกระจายเงินเข้าสู่กลุ่มมิจฉาชีพ เช่น แก๊งคอลเซ็นเตอร์ หรือธุรกิจผิดกฎหมายอื่น โดยการแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลในลักษณะ “ชนมือ” หรือการนัดพบเพื่อแลกเปลี่ยน เหรียญดิจิทัลกับเงินสด นอกสถานที่และนอกระบบที่ได้รับอนุญาต ถือเป็นพฤติกรรมที่มีความเสี่ยงสูง ทั้งในด้านความปลอดภัยในชีวิต ทรัพย์สิน และการมีส่วนร่วมในธุรกรรมที่อาจเกี่ยวข้องกับการฟอกเงินหรือกิจกรรมผิดกฎหมายอื่น
6.กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ(บก.ปอศ.) ร่วมกับกรมสรรพากร เปิดปฏิบัติการ “จบเกมส์กลโกงภาษี - Anti Tax Fraud Operation” ทลายเครือข่ายฉ้อโกงภาษีมูลค่าเพิ่ม รวม 2 เฟส รัฐเสียหายรวมกว่า 2,100 ล้านบาท
เฟสแรกเริ่มเมื่อ ปลายเดือน มิ.ย.68 เจ้าหน้าที่เข้าตรวจค้น 14 จุด แบ่งเป็น จ.ตาก 11 จุด, เชียงใหม่ 2 จุด และ กทม. 1 จุด จับกุมผู้ต้องหา 10 ราย กระทำผิดฐาน “ร่วมกันออกใบกำกับภาษีโดยไม่มีสิทธิจะออกเอกสารดังกล่าว ฯ” , “ร่วมกันเจตนาหลีกเลี่ยงหรือพยายามหลีกเลี่ยงภาษีมูลค่าเพิ่มหรือขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มฯ ” และ “เจตนานำใบกำกับภาษีปลอมหรือใบกำกับภาษีที่ออกโดยไม่ชอบด้วย กฎหมายไปใช้ในการเครดิตภาษี” หลังกรมสรรพากรตรวจสอบพบการกระทำความผิดของบริษัทเอส แอนด์ เอ็ม บราเธอร์ฮู้ดฯ ประกอบกิจการนำเข้าส่งออกสินค้าซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มเครือข่ายฉ้อโกงภาษีรัฐ จึงประสานข้อมูลกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.2 บก.ปอศ. สืบสวนจนทราบว่ากลุ่มของผู้ต้องหา ได้จัดตั้งบริษัทดังกล่าว และได้นำบุคคลในครอบครัว และคนรู้จัก จัดตั้งร้านค้าและบริษัท ซึ่งเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.20) จำนวนกว่า 20 แห่ง แล้วแสร้งทำทีว่ามีการซื้อขายสินค้าระหว่างกันเป็นทอดๆ โดยไม่มีการซื้อขายสินค้ากันจริงๆ
มีเจตนาหลักฐานการซื้อขายเท็จเพื่อทำให้ราคาของสินค้าสูงมากขึ้นเรื่อยๆ โดยจะมีการออกใบกำกับภาษีระหว่างร้านค้าและบริษัทในเครือข่ายของตนในลักษณะหมุ่นวนกันไปมาเป็นทอดๆ (การซื้อขายเป็นทอดๆ วนกันไปมาเช่นนี้ จะทำให้สินค้ามีราคาสูงขึ้น รวมทั้งทำให้ “ภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือ VAT 7%” เพิ่มขึ้นตามราคาสินค้าด้วย) และใช้บริษัทเอส แอนด์ เอ็ม บราเธอร์ฮู้ดฯ ซึ่งจดทะเบียนเป็นผู้ประกอบการส่งออก ทำการซื้อสินค้าทอดสุดท้าย ซึ่งสินค้าจะมีราคาที่สูงเกินจริง และ ภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือ VAT 7% ก็จะสูงมากขึ้นตามไปด้วย แล้วส่งออกสินค้าเดียวกันนี้ไปยังประเทศเมียนมา โดยลูกค้าฝั่งเมียนมาที่มาซื้อสินค้าก็เป็นคนของเครือข่ายด้วย เพื่อสร้างภาพและสร้างหลักฐานของการส่งออกสินค้า สำหรับการขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT 7%) ที่มาจากมูลค่าสินค้าอันเป็นเท็จต่อกรมสรรพากร จากห้วงระยะเวลาปี พ.ศ.2564 - 2565 พบว่า กลุ่มเครือข่ายของผู้ต้องหา ได้ขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มจากกรมสรรพากร เป็นจำนวนเงินกว่า 150 ล้านบาท และจากการประเมินภาษีพบว่ามีมูลค่าความเสียหายจากการกระทำความผิดของกลุ่มผู้ต้องหาทั้งเครือข่ายเป็นจำนวนเงินกว่า 1,000 ล้านบาท นำไปสู่การจับกุมผู้ต้องหาทั้ง 10 ราย
ต่อมาเดือน พ.ย.68 ตำรวจ CIB เดินหน้า เฟส 2 จับกุมผู้ต้องหาอีก 9 ราย ตรวจค้นเพิ่มอีก 11 จุด ในพื้นที่ 4 จังหวัด ได้แก่ จ.ตาก , จ.เชียงใหม่ , จ.ลำปาง และกรุงเทพมหานคร การขยายผลในระยะที่ 2 นี้ พบร้านค้าและบริษัทในเครือข่ายอีก 7 แห่ง ที่ใช้แผนประทุษกรรมเดียวกัน และยังพบรูปแบบใหม่คือ มีบริษัทนอกเครือข่ายที่ประกอบกิจการจริง แต่กลับร่วมกระทำผิดโดยการออกใบกำกับภาษีที่ไม่มีการซื้อขายสินค้าจริง (ขายบิล) ให้กับบริษัทส่งออกของเครือข่ายฯ เพื่อรับค่าตอบแทน ซึ่งการตรวจสอบในระยะที่ 2 นี้ พบมูลค่าความเสียหายเพิ่มเติมอีกกว่า 1,000 ล้านบาท รวมความเสียหายทั้ง 2 ระยะกว่า 2,100 ล้านบาท
7. กองบังคับการปราบปรามการค้ามนุษย์ (บก.ปคม.) ปฏิบัติการ “ปิดสวิตช์ ดิสโมนาช” Switch-Off Discord Monarch รวบกลุ่มแอดมินทั้งหมด 7 ราย และจับกุมกลุ่มผู้ต้องหาซึ่งทำหน้าที่ไลฟ์สดในลักษณะอนาจารอีก 4 รายหลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.1 บก.ปคม. ตรวจสอบแอปพลิเคชัน Discord ชื่อเซิร์ฟเวอร์ “Monarch V2” หรือ “Monarch” นำเด็กสาวอายุต่ำกว่า18 ปี หลายราย มาไลฟ์สดในลักษณะลามกอนาจาร พร้อมเรียกเงินจากผู้เข้าชม โดยเซิร์ฟเวอร์ดังกล่าว มีสมาชิกติดตามมากถึง 117,872 คน มิหนำซ้ำยังจัดการอย่างเป็นระบบ แบ่งหมวดหมู่ต่างๆ
โดยหมวดหมู่ที่พบการกระทำความผิดชื่อ “NIGHTCLUB” และมีการแบ่งช่องย่อยสำหรับบริหารจัดการระบบการไลฟ์สด อีกทั้งยังมีกลอุบาย "ปั่นยอด TOP1" โดยจะประกาศว่าใครที่โอนเงินสนับสนุนมากที่สุดในการไลฟ์สดแต่ละครั้ง จะได้รางวัลใหญ่คือการนัดเจอและมีเพศสัมพันธ์กับหญิงสาวคนที่ไลฟ์สดนั้น แต่แท้จริงแล้วเป็นเพียงการตบตา เมื่อมีผู้เข้าชมโอนเงินเข้ามาเพื่อชิงตำแหน่ง TOP1 กลุ่มผู้กระทำความผิดจะสั่งให้ทีมงานโอนเงินแข่งเพื่อปั่นราคาให้สูงขึ้นไปอีก จนผู้เข้าชมคนนั้นยอมแพ้ไปเอง และเงินที่โอนมาแล้วทั้งหมดจะไม่คืนให้
นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ยังเข้าช่วยเหลือเด็กหญิงคนหนึ่งอายุ 17 ปี เหยื่อจากการค้ามนุษย์ ที่ถูกบุคคลที่รู้จักกันในแอปพลิเคชัน Discord รายหนึ่ง ชักชวน ให้มาทำงานไลฟ์สดแลกเงิน โดยแอดมินจะหักค่าหัวคิว หากเป็นเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี จะถูกหัก 50% โดยอ้างว่าเป็น "ค่าความเสี่ยง" แต่หากอายุเกิน 18 ปี จะหัก 25% เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงรวบรวมหลักฐาน ก่อนจับกุมตัวผู้ต้องหาไว้ได้
8. กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) ร่วมกับ ศปอส.ตร. และ ปปง. เปิดปฏิบัติการ “ถอนรากสแกมเมอร์ข้ามชาติ” รวบผู้ต้องหา 29 ราย ยึดทรัพย์ 10,000 ล้านบาท ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปอส.ตร.) เปิดปฏิบัติการครั้งใหญ่ภายใต้ยุทธการ “ถอนรากสแกมเมอร์ข้ามชาติ สะเทือนทั้งวงการ” เพื่อตัดวงจรเครือข่ายอาชญากรรมออนไลน์และเส้นทางฟอกเงินที่สร้างความเสียหายต่อประชาชนเป็นจำนวนมาก
โดยการสืบสวน ของตำรวจ กก.3 บก.ป. เชื่อมโยงไปถึงเครือข่ายต่างชาติ มีนายทุนใหญ่ชาวกัมพูชาเป็นศูนย์กลางและมีการใช้ธุรกิจบังหน้าเพื่ออำพรางเงินผิดกฎหมาย เข้าตรวจค้นรวม 50 จุด ในพื้นที่ 22 จังหวัดทั่วประเทศ พร้อมออกหมายจับผู้กระทำผิดทั้งหมด 42 ราย สามารถจับกุมได้แล้ว 29 ราย และอยู่ระหว่างติดตามตัวอีก 13 ราย โดยมีผู้ต้องหาหลบหนีอยู่ต่างประเทศ 3 ราย ทั้งหมดถูกตั้งข้อหาเป็นหัวหน้าอั้งยี่ ซ่องโจร ฉ้อโกงประชาชน สมคบฟอกเงิน และร่วมกันฟอกเงิน พร้อมยึดทรัพย์สินกว่า 10,000 ล้านบาท ทั้งรถหรู เรือยอร์ช เงินในบัญชี ที่ดิน ฯลฯ
9. กองบังคับการปราบปราม เปิดปฏิบัติการ TAKE DOWN MAFIA ทลายเครือข่ายยานรก - ซุ้มมือปืน – ผู้มีอิทธิพล หลายซีซั่น เป็นปฏิบัติการปราบปรามกลุ่มสีเทาในพื้นที่ภาคใต้ มาตั้งแต่ปี 2566 ต่อเนื่องมาจนถึงปี 2568 ซึ่งเป็นอีกหนึ่งภารกิจหลักของกองบังคับการปราบปราม โดยเน้นทลายเครือข่ายต้นตอคดีอาชญากรรมทุกชนิด ทั้งยาเสพติด ซุ้มมือปืนและผู้มีอิทธิพล อย่างปฏิบัติการ TAKE DOWN MAFIA : หยุดทางลับยานรก ที่ตำรวจ กก.6 บก.ป.จับกุม 5 ผู้ต้องหา การขยายผลจากการปะทะกับผู้ต้องหาค้ายาเสพติด ในพื้นที่จ.ปัตตานี เมื่อปี 2566 ทำให้เจ้าหน้าที่ได้รับบาดเจ็บ 2 ราย ก่อนจะจับกุมผู้ต้องหาได้ทั้ง 2 คน ขยายผลต่อเนื่อง กระทั่งเดือนก.ค. 68 นำกำลังลงพื้นที่ จ.นราธิวาส, จ.นครศรีธรรมราช และ จ.เชียงใหม่ จับกุมผู้ต้องหาทั้งหมดได้ พร้อมยึดทรัพย์ในขบวนการค้ายาเสพติดรายนี้ รวมทรัพย์สินมูลค่าประมาณ 8 ล้านบาท
และล่าสุดเดือน พ.ย.68 อีกครั้งกับปฏิบัติการ TAKE DOWN MAFIA : Bull Fighting!!! ตัดท่อเงินเทา เจ้าพ่อภาคใต้ รวบผู้ต้องหาเกี่ยวข้องกับเว็บพนันฯ จำนวน 6 ราย ในพื้นที่จ.สงขลา,สตูล, พัทลุง, ขอนแก่น และกรุงเทพมหานคร ตรวจค้นยึดทรัพย์สิน มูลค่ากว่า 10 ล้านบาท หลังเจ้าหน้าที่สืบสวนจับกุมกลุ่มผู้ต้องหาคดียาเสพติด มือปืนรับจ้าง และกลุ่มมีผู้มีอิทธิพลในพื้นที่รับผิดชอบมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้เห็นถึงแผนประทุษกรรมของกลุ่มผู้มีอิทธิพลใช้ในรูปแบบใกล้เคียงกันโดยใช้การพนันวัวชน ไก่ชน ที่ไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายในการหารายได้และฟอกเงิน แล้วนำเงินมาต่อยอดสร้างอิทธิพลแก่ตนเองในพื้นที่
เมื่อมีอิทธิพลก็จะเป็นเหตุตั้งต้นในการกระทำความผิดที่ไม่เกรงกลัวกฎหมาย สร้างความเดือดร้อนให้ประชาชนในพื้นที่เป็นวงกว้าง ทั้งยังพบว่าเว็บไซต์ดังกล่าว เป็นเว็บพนันออนไลน์ที่มีการจัดให้มีการเล่นพนันออนไลน์วัวชน และไก่ชน ผ่านการถ่ายทอดสดในเว็บไซต์ดังกล่าว และยังพบว่ามีความเชื่อมโยงกับลูกน้องผู้มีอิทธิพลในภาคใต้มีเงินหมุนเวียนกว่าร้อยล้านบาท เพื่อเป็นการปราบปรามผู้มีอิทธิพล ยับยั้งอาชญากรรมที่จะเกิดขึ้นในอนาคต อันที่จะเห็นได้จากข้อมูลจากการสืบสวน ผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ภาคใต้ จะกระทำความผิดหรือใช้อำนาจที่ไม่เกรงกลัวกฎหมาย
คดีสุดท้าย 10.กองบังคับการตำรวจทางหลวง (บก.ทล.) ทลายขบวนการ “โจรกรรม-ฟอกขาวรถ” เช่ารถแล้วเชิดหนี ปลอมเอกสารรถแจ้งเปลี่ยนทะเบียน ฟอกขาวรถถูกขโมยให้ถูกกฎหมาย พบเงินหมุนเวียนกว่า 40 ล้านบาท เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.2 บก.ทล. จับกุมขบวนการฟอกขาวรถยนต์ที่ได้มาจากการขโมยรถเช่า ได้ทั้งหมด 9 คน หลังปลอมแปลงเอกสารราชการ ตบตาเจ้าหน้าที่เพื่อขอเปลี่ยนเลขทะเบียน เปลี่ยนจากรถที่ผิดกฎหมายให้กลายเป็นรถถูกกฎหมาย ก่อนจะประกาศขายผ่านทางโซเชียล
หลังพบว่ามีการแบ่งหน้าที่กันทำอย่างชัดเจน ทั้ง กลุ่มตัวการ (Master Mind) ทำหน้าที่สั่งการและเป็นนายทุน, กลุ่มที่ทำหน้าที่โจรกรรมรถ, กลุ่มที่ทำหน้าที่ปลอมและใช้เอกสารราชการฯ ในการฟอกขาวรถที่ได้มาจากการโจรกรรมให้กลายเป็นรถที่ถูกต้องตามกฎหมาย, กลุ่มที่ทำหน้าที่โพสต์ประกาศขายรถที่ฟอกขาวแล้วลงในโซเชียลมิเดีย และกลุ่มทำหน้าที่รับ-ส่งรถที่ได้มาจากการโจรกรรม (นักบิน) ซึ่งคำให้การผู้ต้องหารับว่า รอบหนึ่งปีที่ผ่านมากลุ่มคนร้ายได้ทำการฟอกขาวรถยนต์ที่ได้มาจากการขโมยโดยเฉลี่ยเดือนละประมาณ 4 คัน พบเงินหมุนเวียนกว่า 40 ล้านบาท
ทั้ง 10 คดีสำคัญ ของตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) นี้ เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่สะท้อนความมุ่งมั่น และตั้งใจปราบปราม จับกุม ดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดทุกรูปแบบอย่างจริงจัง
โดยในปีต่อไป พล.ต.ท.ณัฐศักดิ์ เชาวนาศัย ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง จะยังคงเดินหน้าพาทีมตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) ต่อสู้ ปราบปรามอาชญากรรมทุกรูปแบบอย่างต่อเนื่อง ด้วย DNA ของตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) สะท้อนผ่านความเป็น “มืออาชีพ เป็นกลาง เคียงข้างประชาชน”