
13 ธันวาคม 2568 สถานการณ์การสู้รบระหว่างไทยกับกัมพูชาดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ และไม่มีวี่แววว่าจะลดดีกรีความรุนแรงลง หลังจากประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ เสนอตัวช่วยไกล่เกลี่ย โดยโทรศัพท์หาผู้นำของสองประเทศ และอ้างว่าจะมีการหยุดยิง
สอดคล้องกับการสื่อสารจาก นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย และประธานอาเซียน ที่อ้างว่าจะมีการหยุดยิงในค่ำคืนนี้ด้วยเช่นกัน
แต่จากการตรวจสอบจากแหล่งข่าวระดับสูงของกองทัพบก ซึ่งทำงานใกล้ชิดผู้บังคับบัญชาระดับสูงสุด ยืนยันว่ายังไม่มีการส่งสัญญาณเรื่องหยุดยิง ทั้งจากประเทศที่สาม และจากรัฐบาลเองก็ไม่มี ฉะนั้นการสู้รบจะยังคงดำเนินต่อไป
ส่วนรายงานความสูญเสียของทหารไทยที่มีมากขึ้น และบ่อยครั้งขึ้น ทำให้หลายฝ่ายกังวลว่า กองทัพกำลังเพลี่ยงพล้ำหรือไม่นั้น ประเด็นนี้ได้รับคำยืนยันจากแหล่งข่าวระดับสูงของกองทัพบกว่า เป็นภาวะปกติของสงคราม ซึ่งเข้าสู่ระยะที่ 2 คือการใช้ “ทหารราบ” เข้ายึดพื้นที่ยุทธศาสตร์
โดยการสู้รบระยะที่ 2 นี้ เป็นผลจากความสำเร็จของการสู้รบระยะแรก ซึ่งฝ่ายไทยได้เปรียบกัมพูชาเกือบทุกสมรภูมิ สามารถเข้าควบคุมจุดยุทธศาสตร์ได้เกือบทุกจุด รวมทั้งจุดที่กัมพูชาเคยรุกเข้าไป และครอบครองอยู่เป็นเวลานานด้วย
ฉะนั้นเมื่อการสู้รบผ่านระยะแรกไปแล้ว คือ ฝ่ายไทยไล่หรือกดดันทหารกัมพูชาพ้นจุดยุทธศาสตร์ไปได้ ก็ต้องส่งทหารราบเข้ายึดอย่างเบ็ดเสร็จ และเร่งวางระบบป้องกัน
แต่การวางระบบป้องกัน รวมถึงการสร้างฐานที่มั่นให้แข็งแรงเพื่อป้องกันการถูกโต้กลับต้องใช้เวลา หลายพื้นที่ยังทำไม่ทัน หรือไม่สมบูรณ์ แต่ฝ่ายกัมพูชารู้พิกัดจุดยุทธศาสตร์เหล่านั้น เพราะเคยยึดมาก่อน จึงโจมตีกลับได้ง่าย และสร้างความสูญเสียได้มาก แต่ทุกจุดยังไม่สามารถยึดกลับไปได้
แหล่งข่าวระดับสูงจากกองทัพบก ยืนยันว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องปกติของสงคราม โดยฝ่ายเรารู้และคาดการณ์ไว้ก่อนแล้ว เพียงแต่จุดยุทธศาสตร์ที่ไทยยึดได้ เป็นจุดที่ฝ่ายกัมพูชาก็ต้องการเช่นกัน ฉะนั้นเมื่อสูญเสียให้ไทย ก็ต้องระดมกำลังหวังยึดกลับคืน จึงต้องใช้ความรุนแรงทุกรูปแบบ โดยเฉพาะเครื่องยิงจรวดหลายลำกล้อง BM-21 ซึ่งนำมาใช้มากที่สุดในช่วงนี้ และระดมยิงไม่ยั้ง
อย่างไรก็ดี เมื่อมีความสูญเสียของกำลังพลเกิดขึ้นต่อเนื่อง ก็เริ่มมีเสียงทักท้วงจากนักการทหาร ทั้งที่เป็นทหารจริงๆ และเป็นนักวิชาการว่า กองทัพต้องระวัง อย่าเปิดการสู้รบตามกระแส โดยมุ่งจะหักเอาให้ได้โดยไม่ห่วงความสูญเสียของกำลังพล เพราะการรบตามพื้นที่ชายแดน ไม่เหมือนการสงครามเต็มรูปแบบ เพราะไม่มีฝ่ายใดได้เปรียบทุกจุด 100%
ที่สำคัญ การช่วงชิงจุดยุทธศาสตร์ตามแนวชายแดนนั้น การที่ไทยมีอาวุธทันสมัยกว่า ไม่ได้เป็น “ตัวช่วย” หรือทำให้ได้เปรียบมาก เพราะการสู้รบตามแนวชายแดนเป็นเรื่องความเชี่ยวชาญพื้นที่ การชิงความได้เปรียบจากภูมิประเทศมากกว่า ซึ่งทหารกัมพูชาฝังตัวในพื้นที่เหล่านี้มานาน และบางส่วนเป็น ”ทหารบ้าน“
ฉะนั้นล่าสุดจึงเริ่มมีเสียงเตือนให้กองทัพเปิดปฏิบัติการอย่างรอบคอบ ไม่เร่งรีบเหมือนแข่งกับเวลามากเกินไป พูดง่ายๆ คือ ”ช้าแต่ชัวร์“ ดีกว่า เพื่อลดความสูญเสีย
สำหรับการสู้รบในระยะต่อไป ต้องมีการประเมินกำลังของฝ่ายกัมพูชา และปฏิบัติการของฝ่ายเรา ในการทำลายโครงสร้างพื้นฐานทางทหารตามแนวชายแดนของฝ่ายข้าศึก
แหล่งข่าวจากกองทัพบก เผยว่า ขณะนี้กำลังประเมินปริมาณจรวดที่กัมพูชาใช้ในการยิงจากระบบ BM-21 เพราะเท่าที่ตรวจสอบคร่าวๆ น่าจะยิงแล้วหลายพันลูก และใช้แบบไม่ยั้ง จึงต้องดูว่า เป็นการเร่งเกม ก่อนกระสุนหมด หรืออำนาจการยิงลดลงในห้วง 3 วันข้างหน้านี้หรือไม่
หากอำนาจการยิงไม่ลดลง แสดงว่ากัมพูชามีกระสุนมากกว่าที่ไทยคาดการณ์ ก็จะต้องเร่งปรับแผน และมุ่งทำลายระบบอาวุธของกัมพูชาให้มากกว่าเดิม เพื่อสกัดกั้นการคุกคาม
ด้านแหล่งข่าวซึ่งเป็นอดีตหัวหน้าหน่วยงานความมั่นคงระดับประเทศ อธิบายว่า ยุทธวิธีของฝ่ายไทย แบ่งเป็น 6 ขั้นตอนคือ
1.กำหนดเป้าหมายสำคัญในการโจมตี เพื่อทำให้อำนาจการรบของกัมพูชาลดลง
2.ทำลายที่ตั้งทางทหารที่จะเป็นภัยคุกคามต่อไทย เน้นพื้นที่ของไทยที่ถูกกัมพูชารุกล้ำ
3.ทำลายอาวุธหนักของกัมพูชาให้ได้มากที่สุด
4.ส่งกำลังทหารเข้าควบคุมพื้นที่สำคัญ และสถาปนาความมั่นคงในพื้นที่ ด้วยการจัดวางกำลังถาวรที่มีการส่งกำลังบำรุงได้ตลอดเวลา
5. เสริมสร้างความมั่นคงแก่ราษฎรในพื้นที่
6. สร้างพื้นที่ปลอดภัยแล้วถ่ายโอนให้กองกำลังฝ่ายพลเรือนดูแล โดยอาจมีทหารโครงช่วยเสริม ( ”ทหารโครง” คือการให้ทหารเป็นโครง หรือแกนในการวางกำลังดูแลพื้นที่ แต่ใช้กำลังจริงจากภาคประชาชน)
สำหรับสถานการณ์ขณะนี้อยู่ในขั้น 4 เป็นช่วงที่ฝ่ายเราถูกตอบโต้ หลังจากเข้าแย่งยึดพื้นที่ได้และกำลังสถาปนาความมั่นคง