
11 ธันวาคม 2568 รศ.ปณิธาน วัฒนายากร นักวิชาการด้านความมั่นคงระหว่างประเทศ เฟซบุ๊ก Panitan Wattanayagorn วิเคราะห์สถานการณ์สู้รบชายแดนไทย -กัมพูชา ในห้วงเวลาที่ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา โดนัลด์ ทรัมป์ ส่งสัญญาณเตรียมต่อสายพูดคุยกับนายกฯอนุทินและนายกฯฮุนมาเนต จากกัมพูชา
รศ.ปณิธาน โพสต์ข้อความ หัวข้อว่า สหรัฐฯ จะแทรกแซงเราอีก - ไทยกัมพูชาเหลือเวลารบกันอีกเท่าไร?
1. ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ประกาศแล้วว่าจะแทรกแซงสงครามกัมพูชา-ไทยในรอบนี้อีก แต่น่าจะทอดเวลาหรือให้โอกาสไทยและกัมพูชาจัดการรบให้จบภายในเวลาที่จำกัดหรืออีกไม่นานนัก เพราะมีเหตุผลหลายประการสำคัญ ทั้งเรื่องหน้าตา คะแนนนิยม ทั้งเรื่องรางวัล เรื่องเศรษฐกิจ ดุลการค้า ดุลอำนาจในภูมิภาคและในโลก
2. ถ้าไทยและกัมพูชายังขัดขืนหรือไม่ยอมยุติการรบตามกำหนด สหรัฐฯ คงจะใช้มาตรการทางภาษีคล้าย ๆ เดิมเป็นสำคัญแต่คงจะหนักขึ้น (ดูความสำคัญในเรื่องนี้ได้ในบทนำของ U.S. National Security Strategy 2025 ฉบับใหม่ที่ลงนามโดยปธน.ทรัมป์และเผยแพร่เมื่อเดือนที่แล้วได้ครับ)
แต่สำหรับไทยนั้น สหรัฐฯ อาจจะมีมาตรการกดดันอื่น ๆ เพิ่มเติม เช่น งดหรือลดการส่งกำลังบำรุงทางการทหาร หรือจำกัดการสนับสนุนการช่วยรบที่ให้กับไทยลง (ทหารไทยพึ่งพาสหรัฐฯและพันธมิตรตะวันตกเป็นหลักกว่า 80% ตามโครงสร้างและศักยภาพ)
และสหรัฐฯ อาจจะหันไปสนับสนุนกัมพูชาเพิ่มขึ้นในบางรูปแบบ ทั้งนี้ เพื่อกดดันไทยและบางชาติในอีกชั้นหนึ่งด้วย ซึ่งความจริง สหรัฐฯก็เล่นเกมแบบนี้อยู่แล้ว
ส่วนกัมพูชา หากยังไม่หยุดรบ สหรัฐฯ คงจะตัดความช่วยเหลือต่าง ๆ ที่มีอยู่ลง ที่สำคัญ สหรัฐฯ อาจจะเพิ่มการสนับสนุนไทยในการรบอย่างจริงจังเพื่อช่วยเผด็จศึกและสั่งสอนกัมพูชาและชาติที่สนับสนุนอยู่เบื้องหลัง (แต่ก็สุ่มเสี่ยงต่อการบานปลายกลายเป็นสงครามตัวแทนได้)
ที่สำคัญ สหรัฐฯ อาจจะพยายามโค่นล้มนายฮุนเซนลงอย่างจริงจังในครั้งนี้ แต่จะต้องหาทางสนับสนุนผู้นำคนใหม่ ๆ ที่เอื้อประโยชน์กับตนมากกว่านี้แทนให้ได้ ซึ่งไม่ง่าย และชาติอื่น เช่น จีน รัสเซีย คงไม่ยอม
3. หากการคาดคะเนข้างต้นมีน้ำหนัก สิ่งที่ไทยควรจะต้องทำก็คือ:
3.1) เร่งระดมสถาปนาพื้นที่ตามแนวชายแดนให้มั่นคงปลอดภัยอย่างเร่งด่วน โดยเฉพาะการลดภัยคุกคามด้านการทหาร จากอาวุธหนัก และจากกำลังรบของกัมพูชาที่มีอยู่มากตามแนวชายแดนลงให้ได้มากที่สุด
3.2) จัดตั้งพื้นที่ "แนวกันชนเพื่อสันติภาพและมนุษยธรรม" (Humanitarian/Demilitarized Zone) ขึ้นมาตลอดชายแดน 7 จังหวัด โดยให้เป็นเขตปลอดอาวุธหนัก ปราศจากกำลังรบในเชิงรุก และมีการจัดระเบียบการปักปันชายแดนให้ดีขึ้นกว่าเดิม แต่อยู่บนพื้นฐานของอำนาจอธิปไตยและเขตแดนที่ชอบธรรมของไทย
แต่ทั้งนี้ ไทยจะต้องอาศัยความร่วมมือและการสนับสนุนของพันธมิตรและนานาชาติในการจัดพื้นที่ดังกล่าวด้วย โดยเฉพาะจากสหรัฐฯ ที่สนใจกรณีนี้เป็นอันมาก และจีนที่ดูเหมือนกับว่าจะรักษาระยะห่างจากสองคู่กรณีมาตั้งแต่แรก และเพิ่งเสนอแนวทาง "พบกันคนละครึ่งทาง" และเป็น "ตัวกลางอย่างสร้างสรรค์" แต่ไม่ค่อยจะเป็นคุณประโยชน์กับไทย ทั้ง ๆ ที่ย้ำอยู่เสมอว่าไทยจีนนั้นใกล้ชิดกันเปรียบเสมือนเป็นญาติกัน
3.3) ที่สำคัญที่สุด ผู้นำทางการเมืองของไทย (ไม่ใช่ทางการทูตหรือทางการทหาร) จะต้องสื่อสารทางการเมืองและระหว่างประเทศอย่างชัดเจน ทั้งกับชาวไทยในประเทศ ทั้งไปยังกัมพูชาและนานาชาติว่า "ไทยยึดมั่นในแนวทางสันติภาพ และจะดำเนินการในแนวทางดังกล่าวอย่างมุ่งมั่นตั้งใจ ชัดเจนสุดกำลัง โดยจะไม่ถอยหลังหรือเปลี่ยนแปลงจุดยืนใด ๆ" พร้อมทั้งเสนอให้กัมพูชายุติการสู้รบทันที ถอนกำลังออกจากแนวชายแดน และหันมาร่วมมือสถาปนาพื้นที่ตามแนวชายแดนกับไทยให้ประชาชนทั้งสองฝั่งปลอดภัย รวมทั้งช่วยกันฟื้นฟูสันติภาพสันติสุข เพื่อยุติความสูญเสียที่จะเพิ่มขึ้นอีกโดยไม่จำเป็น
4. สรุป ก่อนที่มหาอำนาจและนานาชาติทั้งหลายจะยกระดับเข้าแทรกแซง ไทยและกัมพูชาจะเหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว อาจจะนับเป็นวันหรือสัปดาห์เท่านั้น ที่จะรบกันได้ต่อไปได้ในสงครามครั้งนี้ที่ถือว่าเป็นความขัดแย้งครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศในรอบ 75 ปีที่ผ่านมา
และหากมีการแทรกแซงจากมหาอำนาจและนานาชาติดังกล่าวมากขึ้นแล้วล้มเหลว ก็จะทำให้สถานการณ์ที่รุนแรงอยู่แล้วบานปลายกลายเป็นสงครามตัวแทนที่อยู่เหนือการควบคุมของทุกฝ่ายได้ไม่ยาก
แต่ถ้าสหรัฐฯ (และจีน) ประสบความสำเร็จในการแทรกแซงได้จริง สงครามยุติลงได้ ทั้งไทยและกัมพูชาก็อาจจะต้องแสดงความยินดีหรือขอบคุณทั้งสองประเทศที่มีส่วนสำคัญทำให้การสู้รบสงบลง และที่สำคัญ คือ การแทรกแซงดังกล่าว ยังเป็นการรักษาหน้าตาหาทางลงให้กับฝ่ายการเมืองของไทยและกัมพูชาได้อีกด้วย เพราะดูเหมือนกับว่าทั้งสองฝ่ายไม่ได้คิดไว้ให้ดีล่วงหน้าก่อนที่จะทำสงครามกันว่าจะมีทางออกที่ดีกว่าเสียเลือดเสียเนื้ออย่างไร (Exit Strategy) หรือจะเอาชนะกันแบบเสร็จเด็ดขาดขั้นสุดท้าย (End State) ได้หรือไม่
ภาพและข้อมูลจาก เฟซบุ๊ก Panitan Wattanayagorn