svasdssvasds
เนชั่นทีวี

ข่าวสถานการณ์

เปิดเหตุผล "กัมพูชา" รุกราน "ไทย" ในขณะนี้ ผู้มีอำนาจ อาจสิ้นอำนาจ-กดดันถูกปราบสแกมเมอร์

เปิดเหตุผล "กัมพูชา" รุกราน "ไทย" ในขณะนี้ ผู้มีอำนาจ อาจสิ้นอำนาจ หากไม่มีกระแสชาตินิยม-กดดันถูกปราบสแกมเมอร์

8 ธันวาคม 2568 อาจารย์กฤษฎา บุญเรือง นักวิชาการอิสระชาวไทย ซึ่งพำนักอยู่ที่รัฐจอร์เจีย สหรัฐอเมริกา ระบุถึงปมเหตุ "กัมพูชา" รุกราน "ไทย" ในขณะนี้ (ธ.ค.68) ไว้อย่างน่าสนใจ ว่า

 

 

เปิดเหตุผล "กัมพูชา" รุกราน "ไทย" ในขณะนี้ ผู้มีอำนาจ อาจสิ้นอำนาจ-กดดันถูกปราบสแกมเมอร์ อาจารย์กฤษฎา บุญเรือง

 

1) ผู้นำกัมพูชาจำเป็นต้องทำให้ประเทศอยู่ในสถานการณ์สงครามต่อไปเรื่อยๆ

 

เพราะว่าผู้มีอำนาจ อาจสิ้นอำนาจ “หากไม่มีกระแสชาตินิยมมาเบียดเรื่องปัญหาเศรษฐกิจ”

ความไม่พอใจของชาวกัมพูชาต่อความล้มเหลวของผู้นำเผด็จการหลายทศวรรษแต่ไม่สามารถแก้ปัญหาปากท้องของประชาชนได้ อาจนำมาสู่การประท้วงและเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลง

ฉะนั้น การมีสงครามจะทำให้ชาวกัมพูชาสนใจกับความมั่นคงและอธิปไตยของประเทศ และลดการกดดันรัฐบาลเรื่องเศรษฐกิจที่ตกต่ำอย่างรุนแรงมากจากปัญหาความขัดแย้งชายแดนกับไทย การปิดด่านและการหวนกลับคืนของแรงงาน ซ้ำเติมกับเศรษฐกิจที่ทรุดโทรมจากภาวะวิกฤตโควิดที่ยังแก้ไม่ตก 

 

เปิดเหตุผล "กัมพูชา" รุกราน "ไทย" ในขณะนี้ ผู้มีอำนาจ อาจสิ้นอำนาจ-กดดันถูกปราบสแกมเมอร์

 

 

2) หวังให้ไทยตอบโต้ “ใช้ความเป็นเหยื่อของการถูกรังแก” และจะนำข่าวไปกระพือ 

ผู้นำกัมพูชาได้เตรียมการไว้พร้อมแล้ว จึงสั่งการให้มีการโจมตีแบบจำกัด เพื่อให้กองทัพไทยตอบโต้ และเมื่อได้ผลจริงอย่างที่ต้องการจึงสามารถ ;

2.1) แพร่ข่าวผ่านสื่อมวลชนระดับโลกได้อย่างรวดเร็ว CNN, BBC, Reuters, NBC News, CBS News, Sky news, Al Jazeera, The Guardian, Bloomberg, Fox News, AP News, etc. ต่างเสนอข่าวสอดคล้องกันเรื่องกองทัพอากาศไทยใช้เครื่องบินโจมตีกัมพูชา

2.2) รีบฟ้องต่อหลายองค์กร “โดยเฉพาะผู้นำสหรัฐฯ ซึ่งผู้นำกัมพูชามีคณะล็อบบี้ในวอชิงตันดีซีประจำอยู่แล้ว” 

กรณีของประธานาธิบดีทรัมป์ซึ่งจะเห็นข่าวของการโจมตีทางอากาศของกองทัพไทย แต่ทรัมป์ขาดความละเอียดในการวิเคราะห์จากข้อเท็จจริงจึงอาจมีโมหะ เนื่องจากประกาศว่าตนเป็นผู้นำมาสู่สันติภาพระหว่างสองประเทศนี้ และเป็นส่วนหนึ่งของความหวังในรางวัลโนเบลสันติภาพที่จะต้องสรุปรายชื่อผู้ที่มีโอกาสควรได้รับการพิจารณาภายในสิ้นเดือนมกราคมปีหน้า ซึ่งเหลือเวลาอีกไม่กี่สัปดาห์ 

 

 

ก็อาจนำมาสู่การสรุปว่า 

“ไทยเป็นผู้ละเมิดข้อตกลงสันติภาพกัวลาลัมเปอร์ หรือที่เรียกว่าปฏิญญาร่วมระหว่างนายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรกัมพูชาและนายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรไทยเกี่ยวกับผลลัพธ์ของการประชุมที่กัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ที่ลงนามเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2568 ในงานประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ 47 กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย 

ทรัมป์อาจลงโทษไทย เช่น ประกาศขึ้นอัตราภาษีศุลกากรต่อสินค้านำเข้าจากไทยอย่างรุนแรงเป็นต้น 

ซึ่งผู้นำไทยจะต้องรีบติดต่อโดยด่วนทุกวิถีทางก่อนที่จะมีการประณามและประกาศลงโทษโดยประธานาธิบดีทรัมป์ 

ย้ำว่าการชี้แจงต่อสหประชาชาติและองค์กรอื่นๆรวมทั้งสื่อมวลชนต่างๆนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญ แต่เรื่องทำเนียบขาวนั้นเป็นสิ่งที่อ่อนไหวเรื่องความเร็วและพลาดอีกไม่ได้

 

 

3) ความกดดันเรื่องการปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์สแกมเมอร์ต่างๆของไทยและสหรัฐฯ

การสืบสวนสอบสวนและการยึดทรัพย์รวมทั้งการประสานงานของไทยกับหลายประเทศ โดยเฉพาะกับสหรัฐอเมริกาทำให้สะเทือนต่อรายได้ของผู้นำกัมพูชาจากเงินสีเทา และเป็นอันตรายต่อกลุ่มผู้นำของกัมพูชาเรื่องการถูกคว่ำบาตรหรือคดีอาชญากรรมระหว่างประเทศและการเงินการธนาคารระหว่างประเทศ 

3.1) การยึดทรัพย์สินของกลุ่ม Prince เป็นจำนวนระดับประวัติศาสตร์สูงสุดของสหรัฐฯ 127,271บิตคอยน์ มีมูลค่าประมาณ 15,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯในวันที่ 14 ตุลาคม 

3.2) เมื่อวันที่ 27 กันยายน มีคณะผู้แทนสหรัฐฯ นายอดัม สมิธ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ พรรคเดโมแครต รัฐวอชิงตัน และสมาชิกอาวุโสคณะกรรมาธิการกำลังทหารประจำสภาผู้แทนราษฎร ได้นำคณะผู้แทนรัฐสภาจากทั้งสองพรรคเดินทางเยือนกัมพูชา ซึ่งประกอบด้วยนายไมเคิล บอมการ์ตเนอร์ สมาชิกพรรครีพับลิกัน รัฐวอชิงตัน และนายคริสซี ฮูลาฮาน สมาชิกพรรคเดโมแครต รัฐเพนซิลเวเนีย 

ซึ่งนอกเหนือจากการหารือเรื่องการพัฒนาเศรษฐกิจของกัมพูชาและความร่วมมือด้านความมั่นคงแล้วยังเน้นเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างกัมพูชาและไทยและเสถียรภาพในภูมิภาค แต่ประเด็นที่เชื่อว่าสำคัญที่สุดเป็นเรื่องการกดดันให้รัฐบาลกัมพูชาดำเนินการเพิ่มเติม เรื่องการปราบปราม scammers ซึ่งตั้งอยู่ในกัมพูชาและหลอกลวงชาวอเมริกัน 

3.3) ผู้นำกัมพูชามีความกังวลมากกับร่างกฎหมาย H.R. 5490 หรือ **พระราชบัญญัติการรื้อถอนกลุ่มอาชญากรข้ามชาติ** H.R. 5490, the **Dismantle Foreign Scam Syndicates Act**

ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อต่อสู้กับปฏิบัติการฉ้อโกงออนไลน์ขนาดใหญ่ ซึ่งมักมีต้นตอมาจาก "ศูนย์หลอกลวง" "scam centers"ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ดำเนินการโดยกลุ่มอาชญากรข้ามชาติ และถูกขับเคลื่อนโดยการค้ามนุษย์/แรงงานบังคับ

ร่างกฎหมายฉบับนี้จัดตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจระหว่างหน่วยงานชุดใหม่ ซึ่งมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเป็นประธาน เพื่อนำยุทธศาสตร์ที่ครอบคลุมของรัฐบาลสหรัฐฯ ยุทธศาสตร์นี้ประกอบด้วยการกดดันรัฐบาลต่างประเทศ การกำหนดมาตรการคว่ำบาตรผู้กระทำผิดและผู้สนับสนุน และการพัฒนาความร่วมมือกับภาคเอกชน เช่น ธนาคารและแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย เพื่อหยุดยั้งการหลอกลวงเหล่านี้

 

**สถานะปัจจุบันของร่างกฎหมายฉบับนี้ **

ได้รับการเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎร (รัฐสภาชุดที่ 119) เมื่อวันที่ 18 กันยายน 2568 ต่อมาได้ส่งต่อไปยังคณะกรรมการกิจการต่างประเทศและตุลาการของสภาผู้แทนราษฎร และ ผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการกิจการต่างประเทศของสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของร่างกฎหมายอนุมัติใหม่ของกระทรวงการต่างประเทศ (ณ ต้นเดือนธันวาคม 2568)

หากกฎหมายฉบับนี้ผ่านการอนุมัติโดยรัฐสภาและเซ็นรับรองโดยประธานาธิบดีก็จะทำให้หลายกลุ่มและบุคคลที่ใกล้ชิดกับผู้นำกัมพูชาถูกคว่ำบาตรและดำเนินคดีอาญา รวมทั้ง Ben Smith และ Yim Leak เป็นต้น