svasdssvasds
เนชั่นทีวี

ข่าวสถานการณ์

เปิดข้อกฎหมาย! ไทยมีสิทธิ "ใช้กำลังตอบโต้กัมพูชา"

อดีตรองเจ้ากรมพระธรรมนูญ ชี้ชัดตามหลัก "กฎบัตรสหประชาชาติ" ไทยมี "สิทธิป้องกันตนเอง" สามารถใช้กำลังตอบโต้กัมพูชาได้ในสัดส่วนที่เหมาะสม

11 พฤศจิกายน 2568 พลเอก กฤษณะ บวรรัตนารักษ์ อดีตที่ปรึกษาพิเศษสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม และอดีตรองเจ้ากรมพระธรรมนูญ ให้ข้อมูลภายหลังทหารไทยขาขาดเป็นรายที่ 7 จากทุ่นระเบิดสังหารบุคคลขณะลาดตระเวนในดินแดนไทย เมื่อวันที่ 10 พ.ย.2568 ในประเด็นที่ประเทศไทยสามารถใช้กำลังอาวุธตอบโต้ประเทศกัมพูชา ภายใต้หลักกฎหมายระหว่างประเทศได้หรือไม่ และเพียงใด

โดย พลเอก กฤษณะ  มีข้อสังเกตเฉพาะทางกฎหมาย ไม่เกี่ยวกับเรื่องการเมืองระหว่างประเทศ การเกรงใจประเทศมหาอำนาจที่ต้องการเข้ามามีบทบาท การเกิดความตึงเครียดและวิกฤตตามแนวชายแดน และผลกระทบจากความเสียหายเนื่องจากการใช้กำลังอาวุธตอบโต้ ซึ่งก่อนจะไปถึงข้อสังเกตว่าประเทศไทยสามารถใช้กำลังอาวุธตอบโต้ได้หรือไม่ ควรมีความเข้าใจเบื้องต้น 2 ประเด็นที่เกี่ยวข้องก่อน ดังนี้

1.ปฏิญญา หรือถ้อยแถลงร่วมที่นายกรัฐมนตรีไทยและกัมพูชา ลงนามที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย เมื่อวันที่ 26 ต.ค.2568 ไม่มีผลผูกพันตามกฎหมายระหว่างประเทศตามอนุสัญญากรุงเวียนนาว่า ด้วยกฎหมายสนธิสัญญา เป็นเพียงการแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันทางการเมืองระหว่างประเทศ ปฏิญญา หรือถ้อยแถลงร่วมดังกล่าวไม่ใช่ข้อตกลงหยุดยิง หรือข้อตกลงสันติภาพ จึงไม่มีผลผูกพันตามกฎหมายระหว่างประเทศ หากมีการละเมิดปฏิญญาหรือถ้อยแถลงร่วมดังกล่าว ก็เพียงกระทบต่อภาพลักษณ์ หรือความเชื่อถือเชื่อมั่นในทางลบต่อประเทศที่ละเมิดในเวทีการเมืองระหว่างประเทศ 

2.การใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคลโดยประเทศที่เป็นภาคีอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล หรือ "อนุสัญญาออตตาวา" ซึ่งทั้งประเทศไทยและประเทศกัมพูชาได้เป็นภาคี ถือว่าละเมิดต่ออนุสัญญาดังกล่าว ถือว่ากระทำผิดกฎหมายระหว่างประเทศ แต่ไม่มีกลไกการบังคับใช้ที่มีบทลงโทษโดยตรง ไม่ว่าทางเศรษฐกิจหรือการใช้กำลังโดยตรง ต้องอาศัยการกดดันทางการทูต ประณามจากนานาชาติ องค์การระหว่างประเทศ รวมถึงภาคประชาสังคมระหว่างประเทศ ส่งผลให้เสียชื่อเสียง และความน่าเชื่อถือของประเทศในเวทีการเมืองระหว่างประเทศ รวมทั้งส่งผลลบต่อภาพลักษณ์ของประเทศ 

รวมทั้งไม่ได้รับความช่วยเหลือจากนานาประเทศ องค์การระหว่างประเทศ และภาคประชาสังคมระหว่างประเทศ งดหรือตัดการสนับสนุนไม่ว่าจะเป็นเงินทุน อุปกรณ์ ผู้เชี่ยวชาญ ตลอดจน Know how และเทคโนโลยี ในการเก็บกู้และทำลายทุ่นระเบิด ซึ่งเป็นเรื่องที่รัฐบาลไทยควรดำเนินการต่อเนื่องจากก่อนหน้านี้ ให้สหประชาชาติและประธานรัฐภาคีอนุสัญญาดำเนินการตามอำนาจหน้าที่อย่างจริงจังต่อไป

สำหรับข้อสังเกตว่าประเทศไทยสามารถใช้กำลังอาวุธตอบโต้ได้หรือไม่ เพียงใด สามารถสรุปได้ ดังนี้ 

หากสามารถพิสูจน์ได้เป็นที่ประจักษ์ว่าเป็นทุ่นระเบิดที่วางใหม่โดยทหารกัมพูชา ไม่ใช่ที่ค้างหรือมีอยู่ตามแนวชายแดนก่อนการปะทะกันช่วงปลายเดือน ก.ค.2568 ก็ถือว่าเข้าข่ายการใช้อาวุธโจมตีประเทศไทยก่อน เป็นการละเมิดกฎบัตรสหประชาชาติ ข้อ 51 ส่งผลให้ประเทศไทยมีสิทธิใช้กำลังอาวุธป้องกันตนเองทั้งส่วนบุคคลและส่วนรวม โดยประเทศไทยจะต้องรีบรายงานการถูกโจมตีด้วยอาวุธก่อนและการใช้สิทธิป้องกันตนเองให้คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติทราบโดยทันที 

ซึ่งการใช้กำลังอาวุธเพื่อป้องกันตนเอง ต้องอยู่ในขอบเขตของความจำเป็นและสัดส่วนที่เหมาะสม แต่การใช้สิทธิป้องกันตนเองนี้ต้องไม่กระทบต่ออำนาจและความรับผิดชอบของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ หากการที่ทหารไทยที่ขาขาดจากการเหยียบทุ่นระเบิด 6 รายก่อนหน้านี้สามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นทุ่นระเบิดที่วางใหม่โดยทหารกัมพูชา ยิ่งเพิ่มน้ำหนักในการใช้สิทธิป้องกันตนเองมากยิ่งขึ้น 

สรุป บทความนี้ประสงค์เขียนขึ้นในมุมมองหรือมิติเฉพาะด้านกฎหมายระหว่างประเทศเท่านั้น หากสามารถพิสูจน์ได้เป็นที่ประจักษ์ว่าเป็นทุ่นระเบิดที่วางใหม่โดยทหารกัมพูชา ส่งผลให้ประเทศไทยมีสิทธิและความชอบธรรมสามารถใช้กำลังอาวุธป้องกันตนเองในสัดส่วนที่เหมาะสม ภายใต้กฎบัตรสหประชาชาติ

ส่วนมุมมองหรือมิติอื่นๆ รวมทั้งการพิจารณาสั่งใช้กำลังอาวุธเพื่อป้องกันตนเองก็เป็นเรื่องที่ผู้บังคับบัญชาทหารพิจารณาตามอำนาจหน้าที่และความเหมาะสม ตลอดจนหน่วยงานอื่นๆ ของรัฐที่เกี่ยวข้องวิเคราะห์ตามอำนาจหน้าที่ต่อไป และควรรับฟังความคิดเห็นของปวงชนชาวไทยประกอบด้วย ทั้งนี้ เพื่อความมั่นคงของชาติและความสงบสุขของปวงชนชาวไทย ตลอดจนสันติภาพที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง