svasdssvasds
เนชั่นทีวี

ข่าวสถานการณ์

"เสียงผี" ข้ามแดน! ความสะใจ" ชั่วคราว! เสี่ยงเพลี่ยงพล้ำเวทีโลก

"เสียงผี" ข้ามแดน! ไทยถูกฟ้อง OHCHR ปมเอกชนใช้เครื่องขยายเสียงก่อกวนกัมพูชา - นักวิชาการเตือนรัฐบาล "ได้ไม่คุ้มเสีย" แนะอย่าให้นโยบายถูกนำโดยกระแส

14 ตุลาคม 2568 บทความจาก อาจารย์สุรชาติ บำรุงสุข นักวิชาการด้านความมั่นคง หัวข้อ "สร้างกระแส-ตามกระแส !" ระบุว่า ในท่ามกลางปัญหาความขัดแย้งไทย-กัมพูชา มีการดำเนินการของภาคเอกชนไทยที่นำเอารถติดเครื่องขยายเสียง และกระจายเสียง เช่น เสียงเครื่องบินเอฟ-16 เสียงเฮลิคอปเตอร์ รวมถึงทำ “เสียงผี” เพื่อให้เกิดความหวาดกลัวแก่ประชาชนในฝั่งกัมพูชา ทางด้านบ้านหนองจาน และบ้านหนองหญ้าแก้ว 

การกระทำของเอกชนไทยผู้นี้ ทำให้ฝ่ายกัมพูชาได้ฟ้องร้องต่อ “สำนักงานข้าหลวงใหญ่แห่งสหประชาชาติว่าด้วยสิทธิมนุษยชน” (OHCHR) และกลายเป็นข้อถกเถียงอย่างมากจากการกระทำดังกล่าว 

อาจารย์สุรชาติ บำรุงสุข นักวิชาการด้านความมั่นคง

ดังนั้น บทความนี้ จะขอนำเสนอใน 3 ส่วน ดังต่อไปนี้ คือ

ข้อสังเกต

  1. อาจจะต้องยอมรับว่า การกระจายเสียงข้ามแดนเป็นตัวอย่างที่รัฐบาลเกาหลีใต้กระทำในการส่งข้อมูลข่าวสารข้ามไปถึงชาวเกาหลีเหนือ ซึ่งเป็นการโฆษณาชวนเชื่อด้วยประเด็นที่เป็นสาระ และดำเนินการในเวลากลางวัน
  2. การส่งกระจายเสียงในกรณีของไทย เป็นการกระทำที่มุ่งต่อเป้าหมายที่เป็นประชาชนที่อยู่อีกด้านของเส้นเขตแดน และกระทำในยามวิกาล ซึ่งอาจกลายเป็นข้อร้องเรียนทางกฎหมายระหว่างประเทศได้
  3. การกระทำกับเป้าหมายพลเรือนในลักษณะเช่นนี้ อาจมีผลกระทบตามมา เพราะพลเรือนในสถานการณ์ความขัดแย้งมีกฎหมายระหว่างประเทศคุ้มครองในตัวเอง เพราะไทยไม่ใช่รัสเซียที่โจมตีพลเรือนในยูเครน หรือไม่ใช่อิสราเอลที่สังหารพลเรือนในกาซ่า โดยไม่ต้องสนใจกฎและกติกาใดๆ
  4. การเข้าไปในพื้นที่ควบคุมของฝ่ายทหาร และเข้าไปในยามวิกาลนั้น อาจทำให้ฝ่ายทหารถูกมองว่า เป็นผู้สนับสนุนการกระทำดังกล่าว
  5. รัฐบาลอาจต้องพิจารณาด้วยความใส่ใจ แม้จะเป็นการดำเนินการเล็กๆ ของเอกชน แต่รัฐบาลอาจปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้ จากการเข้าพื้นที่ควบคุมดังที่กล่าวแล้ว และอาจเป็นการกระทำแบบ “ได้ไม่คุ้มเสีย” ในทางการเมืองระหว่างประเทศ แต่ได้ “ความสะใจ”

ข้อเตือนใจ

  1. ปัญหาความขัดแย้งระหว่างประเทศเป็นเรื่องที่มีความละเอียดอ่อนในตัวเองเสมอ การคิดแก้ปัญหาในแบบ “สะใจ” อาจไม่เป็นผลประโยชน์ต่อไทยในเชิงนโยบาย
  2. ความสะใจที่เกิดอาจช่วยสนองตอบกับ “อารมณ์ระยะสั้น” แต่ไม่ใช่สิ่งที่จะช่วยให้ไทยชนะในการต่อสู้กับกัมพูชา
  3. ความสะใจจะทำให้ “นโยบายคือ อารมณ์” และ “ยุทธศาสตร์คือ กระแส” ที่ไม่เอื้อให้ไทยเป็นฝ่ายได้เปรียบในการต่อสู้ เช่น เสียงเรียกร้องให้ “ปิดด่านถาวร” ซึ่งเท่ากับเป็นการ “ปิดพรมแดนถาวร”
  4. นโยบายในแบบ “กระแสนำการเมือง” อาจนำไปสู่ความเพลี่ยงพล้ำในเวทีระหว่างประเทศได้ง่าย เช่น การถูกฟ้องในเวทีระหว่างประเทศ
  5. ตัวบุคคลในความเป็น “จตุรัสความมั่นคงไทย” คือ นายกฯ รมว.ต่างประเทศ รมว. กลาโหม และเลขาธิการ สมช. ควรจะต้องคิดถึง “exit strategy” ที่จะนำผลตอบแทนในระยะยาวมาสู่ประเทศ ไม่ใช่ “เกาะติด” อยู่กับกระแส จนไม่มีนโยบายที่แท้จริง
  6. ต้องไม่คิด “เอาเรื่องเล็ก ไปชนะเรื่องใหญ่” และเรื่องเล็กอาจกระทบกับสถานะที่สำคัญของไทยในเวทีสากล เช่น อย่าให้การกระทำเช่นนี้ไปลดทอนผลบวกของถ้อยแถลงของ รมว. ต่างประเทศใน UNGA เพียงเพราะการกระทำแบบสะใจ
  7. ปัญหาเริ่มมีสภาวะเป็น “ความขัดแย้งยืดเยื้อ” และลดสภาวะความเป็นทวิภาคีลงเรื่อยๆ ซึ่งจะมีผลกระทบกับอนาคตของประเทศ และการกระทำแบบสะใจอาจกลายเป็น “ปมปัญหา” ที่ทำให้เกิดพหุภาคีในตัวเอง
  8. ความขัดแย้งในหลายกรณี จะเห็นบทบาทของภาคเอกชนเชิงบวก ในการทำหน้าที่เป็น “สะพานเชื่อม” ให้คน 2 ฝั่งของเขตแดนไม่ทะเลาะกันมากขึ้น หรือเป็น “ตัวเชื่อม” ในการคลี่คลายปัญหา

ข้อคิด

  1. ไม่อยากเห็นนายกฯ “เทใจ” ไปกับกระแสชาตินิยม-เสนานิยม เพียงเพราะจะเป็นฐานเสียงสำหรับการเลือกตั้งในอนาคต อาจต้องคิดในมุมกลับว่า ถ้านายกฯและพรรคภูมิใจไทย ยุติความขัดแย้งนี้ได้จริงแล้ว พรรคจะเป็นคะแนนเสียงที่มากกว่า
  2. ไม่ว่าอะไรจะเกิด หรือจะถึงขั้นรบกันขนาดไหนก็ตาม ไทยกับกัมพูชายังต้องอยู่ด้วยกัน ไม่มีใครหนีจากใครได้ในทางภูมิรัฐศาสตร์
  3. ต้องเตือนสติกันด้วยความจริงๆ ว่า ถ้าความขัดแย้งขยายตัวจนนำไปสู่การใช้กำลังแล้ว ปัญหานี้จะไปที่ “ศาลโลก” แน่นอน ดังเช่นที่เกิดในปี 2554 และจบที่ศาลโลก 2556

ท้ายบท
กระแสชาตินิยมเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ในวิกฤตความสัมพันธ์ไทยกับเพื่อนบ้าน แต่ต้อง “ควบคุม” ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และไม่ขยายตัวจนกลายเป็นทิศทางหลักในการแก้ปัญหา อันจะทำให้นโยบายต่างประเทศไทยมีสภาวะ “ชาตินิยมนำการเมือง” หรือ “กระแสนำนโยบาย” นั่นเอง !