
8 ตุลาคม 2568 ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 2 สรุปสถานการณ์ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา สถานการณ์โดยรวม มีการตรวจพบความเคลื่อนไหวของฝ่ายกัมพูชา โดยตรวจพบโดรนบริเวณพื้นที่ปราสาทตาควาย 2 ลำ , ตรวจพบรถบรรทุก 6 ล้อ บรรทุกทรายเต็มคัน คาดว่าเป็นการนำส่งฐานปฏิบัติการปรับปรุงที่มั่น , ตรวจพบการปรับปรุงซ่อมแซมเปลี่ยนหลังคาใหม่โรงเก็บรถถัง , ตรวจพบกลุ่มควันสีขาวจับตัวเป็นก้อน 3 จุด คาดว่าเป็นการอุ่นเครื่องรถถังอยู่กับที่ และได้ยินเสียงเลื่อยยนต์จากฝั่งตรงข้าม บริเวณหน้าบังเกอร์ระยะห่างออกไปประมาณ 80 ม. ทางทิศตะวันตกของปราสาทตาเมือน คาดว่าเป็นการเสริมการตั้งรับ และขยายแนวสังเกตการณ์ และเตรียมเส้นทางยุทธวิธี
ปัจจุบันกองกำลังทั้ง 2 ฝ่าย ยังคงวางกำลังตามแนวที่มั่นของตนเอง ฝ่ายไทยจัดกำลังพลประจำจุดเฝ้าตรวจตามเหตุการณ์ เพื่อติดตามความเคลื่อนไหวของฝ่ายตรงข้าม และเตรียมความพร้อม ในการปฏิบัติตอบโต้ตามสถานการณ์
กองทัพภาคที่ 2 ขอความร่วมมือจากพี่น้องประชาชน เพื่อป้องกันการรับข้อมูลข่าวสาร ที่คลาดเคลื่อน บิดเบือน หรือข่าวปลอม (Fake news) ขอให้ประชาชน โปรดใช้วิจารณญาณในการรับข้อมูลข่าวสาร และติดตามข้อมูล จากช่องทางอย่างเป็นทางการจากส่วนราชการ ซึ่งสามารถยืนยันข้อเท็จจริงได้อย่างถูกต้อง และทันเวลา
พลตรี ณัฏฐ์ ศรีอินทร์ รองแม่ทัพภาคที่ 2 กล่าวถึงสถานการณ์ในช่วงนี้ โดยเฉพาะความกังวลใจของชาวบ้านในช่วงวันที่ 10 ต.ค. ที่ในพื้นที่ หนองจาน - หนองหญ้าแก้ว จ.สระแก้ว จะมีการผลักดันฝั่งกัมพูชา ออกจากพื้นที่ นั้น โดย พลตรี ณัฐ ระบุว่า ตนไม่สามารถยืนยันสถานการณ์ได้ เนื่องจากตนไม่ได้เป็นคนกำหนดสถานการณ์ ต้องเป็นระดับรัฐบาล หรือผู้บังคับบัญชา ที่เป็นผู้วางแผนดำเนินการ อีกทั้งยังเป็นพื้นที่คนละพื้นที่ กับที่ตนดูแล แต่ในพื้นที่ของกองทัพภาคที่ 2 นั้น ไม่น่าจะมีอะไรน่าเป็นห่วง
นักข่าวยังถาม พลตรี ณัฐ ถึงกรณีที่ได้ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ถึงเรื่อง “ปราสาทไบแบก” ในพื้นที่อำเภอบ้านกรวด จังหวัดบุรีรัมย์ ที่ถูกลืมนั้น
พลตรี ณัฐ ระบุว่า ปราสาทของประเทศไทย ทั้งที่อยู่ในพื้นที่ชายแดน และพื้นที่ตอนในของประเทศไทยมีเป็นจำนวนมาก ซึ่งกรมศิลปากรได้ทำการสำรวจ และขึ้นทะเบียนไว้เกือบทั้งหมด โดยเฉพาะปราสาทที่อยู่ตามแนวชายแดน แต่ด้วยความที่มีเป็นจำนวนมากนั้น การบูรณะดูแล ของกรมศิลปากร ก็สามารถบูรณะได้ตามงบประมาณที่มี อีกทั้งคนไทยไม่ค่อยรู้ว่ามีประสาทอยู่ที่ไหนบ้าง
สำหรับปราสาทไบแบก ที่ช่องสายตะกู อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ นั้น ย้อนกลับไปเมื่อปี 2554 ตนเคยเป็นผู้การทหารพรานอยู่ในพื้นที่ ตั้งแต่ขณะนั้นมา ทางฝั่งของกัมพูชาก็พยายามที่จะเข้ามาบริเวณปราสาท แต่ทางฝั่งไทย ก็ได้ป้องกัน และดูแลไว้จนถึงปัจจุบัน ซึ่งตนเองเห็นว่าในขณะนั้น กัมพูชาพยายามเข้ามา กระทั่งในปีนี้ ตนได้สอบถามไปยังกำลังพลว่า กัมพูชายังมีความพยายามเข้ามาในพื้นที่อีกหรือไม่ ซึ่งได้รับคำยืนยันจากกำลังพลว่า ไม่มี ตนจึงอยากให้คนไทยได้รู้ว่าในพื้นที่ดังกล่าวก็มีปราสาทอยู่เช่นกัน
อีกทั้ง ยังอยากเชิญชวนคนไทยให้รู้ และไปเยี่ยมเยือน ตนมองว่า โดยเฉพาะปราสาทที่อยู่ติดแนวชายแดน น่าจะชวนคนไทยไปเที่ยว เพื่อแสดงความเป็นเจ้าของ และพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว เปรียบเทียบกับ “ปราสาทตาเมือน” ที่ไม่ค่อยได้รับความสนใจ จึงทำให้ฝั่งกัมพูชาสนใจ และพยายามเข้ามา ซึ่งทางฝั่งไทยเรา เพิ่งประชาสัมพันธ์ให้คนได้รู้จัก ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ปะทะขึ้นไม่นาน นี่จึงเป็นที่มาที่ทำให้ตนเองเปิดเรื่องปราสาทไบแบก และหลังจากนี้ ก็จะทยอยเชิญชวนคนไทยไปเที่ยวปราสาทอื่นๆ เพื่อพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว และแสดงความเป็นเจ้าของด้วยเช่นกัน
เมื่อถามถึง “ปราสาทคนา” ในพื้นที่ อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ นั้น พลตรีณัฐ ระบุว่า ตนน่าจะเป็นคนที่เดินไปเหยียบปราสาทคนาเป็นคนสุดท้าย และเป็นคนนำกำลังทหารพรานเข้าตี ผลักดันทหารกัมพูชาที่ปราสาทคนา ตั้งแต่ปี 2554
อีกทั้ง เส้นทางที่เข้าไปที่ปราสาทคนานั้น ตนก็เป็นคนตัดเส้นทางเข้าไป พร้อมกับวางฐานทหารไว้ในพื้นที่ ส่วนรายละเอียดอื่นๆ ขอไม่พูดถึง เพราะทางแม่ทัพภาคที่ 2 ได้ชี้แจงไว้ทั้งหมดแล้ว ซึ่งในเฟซบุ๊กส่วนตัวของรองณัฐ ก็มีภาพที่เคยโพสต์ไว้ ที่ไปเหยียบปราสาทคนา ในช่วงที่นำกำลังทหารพรานเข้าตีด้วย