
6 ตุลาคม 2568 ที่ศูนย์ประชาสัมพันธ์ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ค่ายสิรินธร ตำบลเขาตูม อำเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี พันเอก ยุทธนาม เพชรม่วง โฆษกกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า แถลงชี้แจงเหตุคนร้ายไม่ทราบจำนวน ใช้อาวุธปืนไม่ทราบชนิดและขนาด บุกปล้นร้านทองภายในห้างสรรพสินค้าบิ๊กซี อำเภอสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส เมื่อช่วงค่ำวานนี้ ( 5 ต.ค. 2568 )
โดย พันเอก ยุทธนาม เปิดเผยว่า เหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 1 ราย คือ สิบเอก บุริศวร์ ระดาชัย สังกัดหน่วยเฉพาะกิจสันติสุข ถูกยิงได้รับบาดเจ็บ ขณะพยายามนำอาวุธประจำกายจากรถยนต์ของตัวเองเข้าขัดขวาง เบื้องต้นได้นำส่งผู้บาดเจ็บไปรักษาที่โรงพยาบาลสุไหง-โกลก ปัจจุบันอาการพ้นขีดอันตรายแล้ว ซึ่ง พลโท นรธิป โพยนอก แม่ทัพภาคที่ 4 แสดงความเสียใจต่อผู้ได้รับบาดเจ็บ และผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจจากเหตุการณ์ของกลุ่มผู้ไม่หวังดี
ทั้งนี้ จากการตรวจสอบมีเหตุการณ์ต่อเนื่องอีกหลายเหตุการณ์ โดยมีรายละเอียดดังนี้
เจ้าหน้าที่ตรวจพบวัตถุต้องสงสัยคล้ายระเบิดแสวงเครื่อง บริเวณจุดกลับรถหน้าห้างบิ๊กซี รวมทั้ง "ตะปูเรือใบ" วางตามถนนหลายจุด ซึ่งคาดว่าถูกใช้เพื่อสกัดการติดตามของเจ้าหน้าที่ เบื้องต้นได้ปิดกั้นพื้นที่และประสานหน่วยเก็บกู้วัตถุระเบิด (EOD) เข้าดำเนินการอย่างเร่งด่วน
สำหรับยานพาหนะที่คนร้ายใช้ในการก่อเหตุ คาดว่าทำการปล้นรถยนต์จากพื้นที่ตำบลปะลุรู อำเภอสุไหงปาดี จังหวัดนราธิวาส และขับมาก่อเหตุในพื้นที่ อำเภอสุไหงโก- ลก โดยเมื่อเวลา 19.20 น. ได้รับแจ้งจากผู้เสียหายว่า เกิดเหตุปล้นรถยนต์ในพื้นที่ จำนวน 2 คัน คือ
ความคืบหน้าล่าสุด เจ้าหน้าที่ตรวจพบรถต้องสงสัยดังกล่าว จำนวน 2 คัน จอดทิ้งไว้บริเวณบ้านตอออ หมู่ที่ 1 ตำบลกายูคละ อำเภอแว้ง จังหวัดนราธิวาส เจ้าหน้าที่จึงเข้าทำการควบคุมพื้นที่เพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเกิดกับพี่น้องประชาชน พร้อมทั้งประสานชุด EOD เก็บกู้วัตถุระเบิด และชุดเก็บพยานหลักฐานเข้าดำเนินการตามกระบวนการต่อไป
ด้าน พล.ท.นรธิป โพยนอก แม่ทัพภาคที่ 4 ได้สั่งการให้หน่วยกำลังในพื้นที่ ทั้งพลเรือน ตำรวจ และทหาร เข้าช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบ หน่วยกำลังทุกหน่วยเข้ากดดันเต็มพื้นที่ ทั้งในพื้นที่ป่าเขา และในเขตเมือง ปฏิบัติตามแผนป้องกันเมืองเศรษฐกิจ ในระดับเตรียมพร้อม 100 % และเน้นย้ำหน่วยป้องกันชายแดน เพิ่มความเข้มการปฏิบัติตามแนวชายแดน ไทย-มาเลเซีย เพื่อป้องกันการหลบหนี เพ่งเล็งยานพาหนะที่ก่อเหตุ บุคคลต้องสงสัย รวมถึงเส้นทางที่อาจใช้ในการหลบหนี ตลอดจนประสานขอความร่วมมือประเทศเพื่อนบ้านในการติดตามคนร้าย และรวบรวมหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ รวมถึงการติดตามทางกล้องวงจรปิด เพื่อบังคับใช้กฎหมายต่อไป
เหตุการณ์ในครั้งนี้ไม่ใช่เพียงการสร้างสถานการณ์เท่านั้น แต่ยังสะท้อนเจตนาที่ชัดเจนของผู้ก่อเหตุในการใช้ความรุนแรงเพื่อหวังประโยชน์ทางการเงิน เพื่อมาหล่อเลี้ยงกลุ่มขบวนการของตน โดยมิได้คำนึงถึงความปลอดภัยของประชาชนและระบบเศรษฐกิจในพื้นที่
ซึ่งจากการตรวจสอบและวิเคราะห์พฤติกรรมย้อนหลังพบว่า กลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงใช้การปล้น ลักทรัพย์ และจี้ชิงทรัพย์เพื่อนำเงินมาใช้ในการก่อเหตุรุนแรง ไม่ว่าจะเป็นการจัดซื้ออาวุธ วัสดุประกอบระเบิด ยานพาหนะเพื่อทำระเบิด และใช้ในการก่อเหตุร้าย โดยที่ผ่านมาเคยเกิดเหตุลักษณะต่อระบบเศรษฐกิจ เช่น
คาดว่าเป็นการกระทำของกลุ่ม BRN สิ่งบอกเหตุแสดงว่ากลุ่มขบวนการขาดเงินทุนในการก่อเหตุ เป็นผลจากการที่เจ้าหน้าที่ เข้าดำเนินการอย่างเข้มข้นต่อเส้นทางการเงิน ซึ่งเป็นท่อน้ำเลี้ยงของกลุ่มขบวนการ อาทิ ภัยแทรกซ้อนที่ผิดกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นยาเสพติด สินค้าที่ผิดกฎหมาย และน้ำมันเถื่อน ซึ่งเป็นการตัดท่อน้ำเลี้ยงของกลุ่มขบวนการ จึงเป็นสิ่งบ่งชี้ว่ากลุ่มขบวนการดังกล่าว มิได้กระทำตามอุดมการณ์ที่อ้างต่อพี่น้องประชาชน เป็นเพียงกลุ่มโจรซึ่งกระทำทุกอย่างเพียงประโยชน์ของกลุ่มตนเท่านั้น โดยไม่คำนึงถึงความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนและระบบเศรษฐกิจ
กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ขอประณามการกระทำเยี่ยงโจรดังกล่าว ซึ่งส่งผลต่อความเดือดร้อนของประชาชน ที่ได้รับผลกระทบจากความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ และขอความร่วมมือประชาชนในพื้นที่ช่วยกันสอดส่องดูแลพื้นที่ หากพบเห็นบุคคลต้องสงสัยหรือวัตถุต้องสงสัยหรือข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการติดตามผู้ก่อเหตุ สามารถแจ้งเบอร์สายด่วน กอ.รมน.ภาค 4 สน. โทร.1341 หรือหน่วยเฉพาะกิจใกล้บ้านได้ตลอด 24 ชั่วโมง และย้ำว่าผู้สนับสนุนผู้ก่อเหตุรุนแรงไม่ว่าจะเป็นการให้ที่พักพิง ซ่อนตัว หรือจัดหาเสบียง ถือว่ามีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 189 อาจถูกจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ