25 เมษายน 2568 จากเหตุตึก สตง.ถล่ม เนื่องจากแผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมา หลังเกิดเหตุทั้งกรมสอบสวนคดีพิเศษ(DSI)รับเป็นคดีพิเศษ โดยมีบริษัทที่เกี่ยวข้องกับการก่อสร้าง วัสดุก่อสร้าง เข้าข่ายถูกดำเนินคดี ขณะที่ตำรวจเดินหน้าสืบสวนสอบสวนหาสาเหตุการเสียชีวิตของผู้ที่ติดอยู่ในซากอาคาร
อย่างไรก็ดี มีการตั้งคำถามว่า ที่ผ่านมา สตง.มีอำนาจตรวจสอบการใช้งบประมาณของหน่วยงานรัฐ แต่ใครจะมีอำนาจตรวจสอบ สตง. ในฐานะหน่วยงานเจ้าของโครงการสร้างตึกถล่ม?
ขณะที่ท่าทีของ สตง. ตลอดเกือบ 1 เดือนที่ีผ่านมา ต้องยอมรับว่า ออกแอคชั่นน้อยเกินไปมาก และไม่มีท่าทียอมรับความผิดพลาด หรือแม้แต่ขอโทษประชาชน ทั้งๆ ที่สูญงบประมาณไปกว่า 2 พันล้านบาท หนำซ้ำยังทำให้ภาพลักษณ์ประเทศชาติเสียหาย ไม่ว่าสาเหตุหลักจะมาจาก สตง.เอง หรือไม่ก็ตาม แต่องค์กร สตง. จะปฏิเสธความรับผิดชอบได้หรือ?
อ.คมสัน โพธิ์คง นักวิชาการด้านนิติศาสตร์ ซึ่งเคยอยู่ในแวดวงองค์กรอิสระ เช่น กกต. และเคยเป็นกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 ด้วย
อ.คมสัน บอกว่า สตง.ยุคใหม่ ตามกฎหมายใหม่ ออกแบบให้ สตง.แทบจะถูกตรวจสอบย้อนกลับไม่ได้เลย
โดยแนวคิดการมีองค์กร สตง.ในอดีต มีต้นแบบมาจาก “ศาลบัญชี” ในฝรั่งเศส แต่รัฐธรรมนูญมีการยกร่างใหม่หลายครั้ง และจัดทำกฎหมาย ประกอบรัฐธรรมนูญใหม่ทุกครั้ง ทำให้ล่าสุดยุค อ.มีชัย ฤชพันธุ์ ปรับไปปรับมา เกิดปัญหาว่า ไม่มีช่องทางตรวจสอบ สตง.ในทางตรงได้เลย ฉะนั้นถ้าถามตน เห็นว่ากระบวนการตรวจสอบต้องเป็นศาล คือ ก็ต้องฟ้องร้องกันไป โดยร้องผ่าน ป.ป.ช. เพราะถือเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ
อ.คมสัน ยังมองว่า ตนรู้สึกเหมือนกับกระแสสังคมตอนนี้ คือ สตง. และคณะกรรมการ คตง. นิ่งเฉยเกินไปต่อปัญหาตึกถล่ม ทั้งๆ ที่ต้องรับผิดชอบโดยตรง และเป็นองค์กรที่ทำหน้าที่ตรวจสอบคนอื่น จึงควรแสดงความรับผิดชอบมากกว่านี้
ด้าน อ.ธนพร ศรียากูล ผู้อำนวยการสถาบันวิเคราะห์การเมืองและนโยบาย ให้ข้อมูลอีกด้านหนึ่งว่า ใน พ.ร.ป.ว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน พ.ศ.2561 หรือ พ.ร.ป.สตง. มีบทบัญญัติเปิดช่องให้มีการตรวจสอบ สตง. และ คตง.เอาไว้ อยู่ในมาตรา 73
กล่าวคือ ให้มีคณะกรรมการกำกับการตรวจสอบเพื่อทำหน้าที่ในการกำกับการปฏิบัติหน้าที่ในการตรวจสอบสำนักงานของคณะผู้ตรวจสอบ (หมายถึงสำนักงานของ สตง.) และดูแลให้คณะผู้ตรวจสอบมีความอิสระในการปฏิบัติหน้าที่ตรวจสอบสำนักงาน….”
โดยกฎหมายยังกำหนดองค์ประกอบของคณะกรรมการกำกับการตรวจสอบ เอาไว้ด้วย ว่า ประกอบด้วยประธานวุฒิสภา เป็นประธานกรรมการ และ ประธานองค์กรอิสระทุกองค์กร ยกเว้นประธานกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน เป็นกรรมการ (ที่ต้องยกเว้น เพราะเป็นการตรวจสอบองค์กรของตัวเอง) และให้อธิบดีกรมบัญชีกลางเป็นกรรมการและเลขานุการ
อ.ธนพร บอกว่า คณะกรรมการชุดนี้มีอำนาจตรวจสอบเต็มร้อยอยู่แล้ว และหากอ่านกฎหมายจะเห็นว่า คณะกรรมการชุดนี้ นอกจากจะมีประธานวุฒิสภาเป็นประธาน ยังมีประธานองค์กรอิสระทุกแห่งเป็นกรรมการ และมีอธิบดีกรมบัญชีกลางเป็นเลขานุการ เนื่องจากเป็นเรื่องการใช้จ่ายงบประมาณของ สตง.เอง กรมบัญชีกลางจึงต้องมีอำนาจตรวจสอบ
คำถามคือ ประธานวุฒิสภาเรียกประชุมเมื่อไหร่ และประธานองค์กรอิสระองค์กรอื่นทำอะไรกันอยู่ ทำไมถึงไม่ขยับ เรียกศรัทธาจากประชาชน เพราะเป็นเรื่องสำคัญขนาดนี้ โดยเฉพาะวุฒิสภา ที่โดนข้อหา โพยฮั้ว สว. อยู่ แทนที่จะแสดงบทบาทให้ได้ใจประชาชน เพราะเมื่อตรวจสอบแล้ว ส่งเรื่องให้ ป.ป.ช. ก็จะมีน้ำหนักมากกว่าให้ประชาชนไปยื่นคำร้องกันเอง
อ.ธนพร สรุปว่า การนิ่งเฉย จึงกลายเป็นคำถามว่ามีอะไรลึกๆ เบื้องหลังหรือไม่ เช่น พรรคสีน้ำเงินวางตัวกรรมการ คตง.อีก 2 คน แทนคนที่กำลังจะหมดวาระหรือเปล่า หรือข่าวลือที่ว่า บิ๊ก สตง. สนิทสนมกับ บิ๊กพรรคสีน้ำเงิน เป็นเรื่องจริง ทำให้กลไกการตรวจสอบเป็นอัมพาต