
Nation Crime สัปดาห์นี้โฟกัสเรื่อง “ปืน” ที่กลายมาเป็นอาวุธหาง่ายมากขึ้นในปัจจุบัน และเข้าถึงกลุ่มเด็กและเยาวชนได้อย่างง่ายดาย
จากสถิติพบว่า ประเทศไทย เป็นประเทศที่มีการถือครองอาวุธปืนมากที่สุดในอาเซียน และอยู่ในอันดับ 20 ของโลก
ข้อมูลสถิติ จากเว็บไซต์ World population review ระบุว่า พลเรือนคนไทยมีอาวุธปืนไว้ในครอบครอง มากถึง 10.3 ล้านกระบอก คิดเป็นสัดส่วน 15.41% ของประชากร เท่ากับว่าในคน 100 คน จะมีคนที่มีปืนถึง 15 คน
ที่น่าตกใจยิ่งกว่านั้น คือ จากปืน 10.3 ล้านกระบอก เป็นปืนเถื่อนมากถึง 5 ล้านกระบอก หรือ 50 % ของปืนที่มีอยู่ในประเทศ
ปืนเถื่อนเหล่านี้ มีที่มาจากหลากหลายแหล่ง ทั้งปืนที่ใช้การสู้รบในอดีต ปืนสวัสดิการ ปืนนำเข้ามาอย่างถูกกฎหมาย แต่อาจเปลี่ยนมือซื้อขายไม่ถูกต้อง จนทำให้กลายเป็นปืนเถื่อน ปืนดัดแปลงบีบีกัน หรือแบลงค์กัน และปืนไทยประดิษฐ์
อย่างไรก็ดี พบว่าปืนเถื่อน เป็นปืนที่ใช้ก่อเหตุมากที่สุด สูงกว่าปืนมีทะเบียนถึง 5 เท่า
ในห้วงเวลาไม่กี่ปีที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่าความรุนแรงที่เกิดจากอาวุธปืน มีให้เห็นแทบทุกวัน เพิ่มมากขึ้นอย่างมีนัยยะ หลายคนตัดจบปัญหา หรือข้อพิพาท ด้วย มัจจุราช ที่มีชื่อว่า ปืน
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ปืน ไม่ได้อยู่เพียงการถือครองของผู้ใหญ่ หรือผู้ที่มีวุฒิภาวะ อีกต่อไป แต่ ปืนในปัจจุบัน เข้าถึงเด็กและเยาวชนได้อย่างง่ายดาย กลายเป็นเครื่องมือแสดงถึงอำนาจ ใช้เป็นเครื่องมือข่มขู่ผู้อื่น เป็นเครื่องมือที่แสดงถึงการได้การยอมรับในกลุ่มเพื่อนฝูง
หลายคนตัดสินใจใช้ ปืน เป็นเครื่องมือตัดสินปัญหา พรากชีวิตผู้อื่นไปจากบุคคลอันเป็นที่รัก
พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ รอง ผบช.น. สะท้อนปัญหาว่า การจับกุมของเรามัน จะไม่ใช่เป็นการจับกุมที่ต้นเหตุ เราจับคนครอบครอง คนผลิตมันก็ยังคงผลิตออกมา เราต้องยกระดับไปถึงกลุ่มที่ผลิต จริงๆตำรวจทำงานหน่วยเดียวไม่ได้ มันต้องทุกภาคส่วน เนื่องจากในเรื่องของข้อกฎหมายการขออนุญาตอาวุธปืนต่างๆ มันอยู่กับอีกกระทรวงหนึ่ง ไม่ใช่ตำรวจ ปืนที่ถูกต้องเราควบคุมอย่างดี แต่ปืนเถื่อน ปืนดัดแปลงที่ไม่ถูกกฎหมาย พวกนี้เราไม่มีการควบคุม
พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ บอกด้วยว่า ปืนถือว่าเป็นโรคระบาด น่าตกใจ ปัจจุบันที่เราจับอายุต่ำกว่า 20 ทั้งนั้น ซึ่งต่างจากในอดีตซึ่งการจะเข้าถึงอาวุธปืนต้องมือชนมือ ต้องรุ่นใหญ่20 ปีขึ้นไป แต่ในสถานการณ์ปัจจุบัน พอเป็นรุ่นเล็ก เราก็มาวิเคราะห์เกิดจาก รุ่นเล็กจะเล่นผ่านสื่อออนไลน์ พอเล่นในสื่อออนไลน์เสร็จจะดึงเข้ากลุ่มลับ และมีการซื้อขายปืนผ่านการส่งพัสดุไปรษณีย์ ส่งถึงบ้านเลย
การก่อเหตุที่ใช้อาวุธปืนดัดแปลง เราจะพบมากในกลุ่มเด็กและเยาวชน โดยส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มเด็กที่เรียนไม่จบ หรือเรียกว่าเด็กทรงช่าง กลุ่มนี้จะมาเป็นอันดับต้นๆ แต่เราก็ไม่ประมาท เพราะอย่างเหตุที่เกิดที่พารากอนก็ กลายเป็นนักเรียนดีเลย ผมมองว่า มันอยู่ที่การเข้าถึงมากกว่า
ทั้งนี้ ในช่วงระดมกวาดล้างปืนเถื่อนในหวง 2-3 เดือนที่ผ่านมา หลายคนอาจจะสะดุดหูกับ ชื่อหมู่บ้าน หมู่บ้านหนึ่ง คือ หมู่บ้านหนองอีเติ่ง ต.น้ำทรง อ.พยุหะคีรี จ.นครสวรรค์ ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2567 ที่ผ่านมา กองบังคับการสืบสวนสอบสวนนครบาล(บก.สส.บช.น.) นำโดยสารวัตรแจ๊ะ หรือ พ.ต.ต.ธัญพีรสิษฐ์ จุลพิภพ สว.กก.สส.3 บก.สส.บช.น. นำกำลังเข้าจับกุม สมโคลท์พันกระบอก นายจิรวัฒน์ วัย 48 ปี นักค้าปืนเถื่อนตัวเป้ง ต้นตอปืนเถื่อนที่ทะลักไปทั่วประเทศ โดยก่อนจับกุมเจ้าตัวมักเดินทางเข้าออก วนเวียนอยู่ในพื้นที่ จ.อุทัยธานี เขตรอยต่อ จ.นครสวรรค์ ก่อนจะถูกจับกุมได้ขณะกำลังนำปืนเถื่อน มาส่งพัสดุให้กับลูกค้า
ภายหลังการจับกุม เจ้าตัวสารภาพว่า เคยติดคุกในคดีเกี่ยวกับยาเสพติด นานกว่า 10 ปี เมื่อพ้นโทษออกมา ไม่มีอาชีพเป็นหลักแหล่ง แต่เห็นช่องทางทำเงิน จากความต้องการปืนของเด็กวัยรุ่น จึงผันตัวมาเป็นพ่อค้าขายปืนเถื่อน โดย 1 ปีที่ผ่านมาขายปืนไปได้มากกว่า 1,000 กระบอก
หลังจากการจับกุม สมโคลท์ พันกระบอก ไม่นาน กองบังคับการสืบสวนสอบสวนนครบาล ได้เข้ารับกุม พ่อค้าปืนเถื่อนอีกราย “โอ๊ต หนองอีเติ่ง” หรือ นายนภัสกร อายุ 23 ปี ชาว จ.นครสวรรค์ และนี้ถือเป็นการตีแผ่ ข้อมูลเกี่ยวกับหมู่บ้านที่ผลิตปืนเถื่อน เป็นทางการครั้งแรก
พ.ต.ต.ธัญพีรสิษฐ์ จุลพิภพ สว.กก.สส.3 บก.สส.บช.น. บอกกับ Nation Crime ว่า เราตามจนไปเจอต้นต่อการผลิตจริงๆของปืนเถื่อน ส่วนใหญ่มักจะมาจากหมู่บ้านหนองอีเติ่ง ต้องบอกก่อนว่าหมู่บ้านหนองอีเติ่งเป็นหมู่บ้านที่มีลักษณะไม่ใหญ่ รถแปลกๆเข้าไปเขาจะรู้ตัว เราสืบสวนทราบว่าผู้ต้องหารายนี้มักจะออกจากมาจากหมู่บ้านเพื่อมาส่งอาวุธปืน จนเรามาพบเขา
ตอนที่เราเห็นว่าเขาเดินมาหาเราไม่แน่ใจว่าเขามาส่งอาวุธปืนหรือเปล่า เพราะเขาถือลังขนมปี๊บมา พอตรวจสอบก็พบว่าในขนมปี๊บ มีการซ่อนอาวุธปืนไว้
ตามคำพูดของเขา เขาบอกว่าทำกับทั้งหมู่บ้าน เวลาตำรวจไป ส่วนใหญ่ก็จะค้นไม่เจอ เพราะบางบ้านอาศัยว่าเข้าไปทำในพื้นที่ป่า เมื่อมีเจ้าหน้าที่มาเขาก็จะรู้หลีกกันทัน เจอแต่ของกลางไม่เจอตัว ซึ่งทางตำรวจพื้นที่ โดยเฉพาะกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 6 เคยเข้าไปปฏิบัติการจับกลุ่มหลายครั้งแล้ว ซึ่งเวลาเจ้าหน้าที่ไป ตัวก็จะไม่อยู่ เจอแต่ของกลางบ้าง แต่ด้วยสภาพแวดล้อม
พบเป็นอยู่บ้านขนาดเล็ก ที่ค่อนข้างอุดมสมบูรณ์ บางพื้นที่แบ่งเป็นนาข้าว สลับกับ ไร่ข้าวโพด แต่ยังคงเห็นเค้าลางให้เห็นว่า เมื่อก่อนคงเป็นป่ารกชัฎ เนื่องจากหลงเหลือต้นไม้ใหญ่ ขึ้นควบคู่ไปกับ เถาวัลย์รก บ้านเรือนอยู่ห่างกัน ไปตามพื้นที่การทำเกษตร ชาวบ้านไปมาหาสู่กันด้วยรถจักรยานยนต์
ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 8 ให้ข้อมูลว่า ในอดีตคนจะรู้จักหมู่บ้านหนองอีเติ่ง ในฐานะหมู่บ้านผลิตปืนก็จริง แต่ในปัจจุบัน แทบจะไม่มีเหลือให้เห็นแล้ว นอกจากพวกที่ลักลอบไปผลิตกันในป่าในไร่
ขณะที่ ลุงป้อ วัย 66 ปี ทายาทรุ่นที่ 6 ที่เคยทำปืนเถื่อนขาย เล่าให้ฟังว่า เมื่อก่อนสมัยปู่ ย่า ตา ทวด หรือราวๆ 100 ปีที่แล้ว คนในหมู่บ้านนี่ทำปืนขายจริง แทบจะทุกหลังคาเรือนรู้จักการทำปืน ถ่ายทอดความรู้รุ่นสู่รุ่น คล้ายกับการสอนลูกหลานทำนา ทำไร่ ได้มีอาชีพเลี้ยงตัว
ทำปืนค่อนข้างทำยาก ผมเคยถามปู่ย่า เอาครูวิชาทำปืนมาจากไหน เขาบอกว่าแกะตามแบบปืนเก่า แกะมาจากของโบราณ แต่ก่อนมันไม่สวยหรอก พิมพ์มาแล้วเขาก็มาฝึกเอากัน แต่ว่ามันจะมีบางคนที่มีพ่อแม่ปู่ย่าตายายที่เคยมีอาชีพผลิตปืนเถื่อน ก็จะมีการสอนต่อๆกันมา โดยเมื่อลูกหลานบางคนที่เรียนจบมาแค่ ป.4 ไม่รู้จะทำงานอะไร ก็เป็นช่องทางในการหาเงินเลี้ยงชีพ แต่ไม่ได้มีคนที่ทำเยอะขนาดนั้น
คนที่นี่คัดเหล็ก คุณภาพดี แป๊บอีโบ๊ะ แหล่งเหล็กก็หาซื้อได้ที่นครสวรรค์หรือไม่ก็อุทัยธานี คนซื้อเขาจะรู้เกรดเหล็กของเขาอยู่ เอาไปทำลำกล้องคุณภาพเหล็กก็ค่อนข้างดี ช่วงที่หมู่บ้านหนองอีเติ่งเฟื่องฟู ถึงขนาดมีการปูผ้า ขายปืนกันข้างถนน คล้ายกับขายของทั่วไป
จนกระทั่งในปีพุทธศักราช 2518 รัฐบาลประกาศนิรโทษกรรมปืน เปิดโอกาส ให้คนนำปืนเถื่อน มาจดทะเบียน ส่งผลให้คนมาสั่งปืนทำปืนจำนวนมาก จนราคาปืนพุ่งขึ้นสูงกระบอกละ 1,000-2,000 บาท ชาวบ้านบางคนนำปืนไปปูผ้าขายที่ริมถนนสายหลัก
แต่หลังจากนั้น ประมาณ 6-7 ปี เกิดปัญหาอาชญากรรมที่เกิดจากปืนเพิ่มขึ้น จึงเกิดการกวาดล้างครั้งใหญ่ในหมู่บ้าน มีการยึดปืน และอุปกรณ์ทำปืน จำนวนมาก ส่งผลให้ชาวบ้านขาดรายได้ ประกอบกับทางภาครัฐ ไม่ต้องการให้ชาวบ้านหันกลับไปทำอาชีพปืนเถื่อนขาย อีกจึงได้หาแนวทางอาชีพอื่นเข้ามาทดแทน
ลุงป้อ บอกถึงราคาปืนในสมัยก่อนว่า สมัยนั้นปืนไม่ได้สวยงามอะไร เพียงแต่ราคามันถูก กระบอกละ 150 บาท ประมาณ 60 ปีที่แล้ว ตอนนั้นก็ไปฝึกทำ แต่ก็ไม่ได้ทำจริงจังจนกระทั่งมีครอบครัว มาตอนนั้นมีการให้เปิดขึ้นทะเบียน ปืน เพราะตอนนั้น ที่ทำเจ้าหน้าที่เขาเปิดไม่ได้มารบมากวน ตีตั๋วเป็นปืนถูกกฎหมายได้ บางคนเขามีตั๋วเก่าๆเขาก็มาซื้อปืน
แต่จากนั้นบางคนเอาไปก่อนเหตุ พอถูกจับเขาก็บอกว่าเอาปืนมาจากหนองอีเติ่ง ไม่กี่ปีก็มีเจ้าหน้าที่ก็มากวาดล้าง เพราะว่าหมู่บ้านเริ่มดัง
ส่วนประเด็นว่า ทำไมเจ้าหน้าที่ถึงตรวจค้นไม่เจอ ลุงป้อ บอกว่า เวลาจะทำปืน จะไปทำในพื้นที่ป่า เมื่อทำเสร็จ ก็จะเก็บฝังไว้ ไม่นำปืนเข้าบ้าน เมื่อเจ้าหน้าที่ตรวจค้นจะไม่พบของกลาง
แต่ในปัจจุบันชาวบ้านในหมู่บ้านหนองอีเติ่ง เลิกผลิตปืนแล้ว เนื่องจากเด็กรุ่นใหม่เรียนสูงและมีอาชีพถูกกฎหมาย
ชมคลิปรายการ Nation Crime